Your browser doesn’t support HTML5
Naomi Peña เป็นตัวอย่างหนึ่งของคุณแม่ที่ยังไม่อยากกลับไปทำงานหลังวิกฤตโควิด-19 ก่อนหน้านี้ Peña เคยทำงานเต็มเวลา และเลี้ยงลูกๆ อีกสี่คนได้ในเวลาเดียวกัน แต่เมื่อการแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัสเริ่มขึ้นเมื่อต้นปีที่แล้ว เรื่องดังกล่าวกลายเป็นเรื่องยาก และเธอต้องพบกับการตัดสินใจที่น่าปวดหัวของการต้องเลือกระหว่างลูกๆ หรืองานของเธอ
ในที่สุด Peña ก็เลือกลูกของเธอ โดยเมื่อเดือนสิงหาคมเธอได้ลาออกจากตำแหน่งผู้ช่วยผู้บริหารที่ Google ในนครนิวยอร์กซึ่งมีรายได้ดีพอสมควร Peña ก็เหมือนกับผู้หญิงคนอื่นๆ อีกหลายล้านคนที่หยุดทำงานและคอยดูแลคนในครอบครัว บ้างก็มองหาสถานรับเลี้ยงเด็กที่ราคาไม่แพง ประเมินอาชีพของตนใหม่ หรือเปลี่ยนลำดับความสำคัญของชีวิตกับการทำงาน
Peña ในวัย 41 ปีเล่าว่าโรคระบาดครั้งนี้ทำให้ทุกอย่างในชีวิตของลูกๆ ของเธอต้องหยุดชะงัก และทำให้เธอต้องยุติอาชีพการงาน เพราะรู้สึกว่าที่บ้านต้องการเธอมากกว่าที่ทำงาน เธอต้องออกจากงานที่ให้เงินเดือนสูงและให้สวัสดิการอื่นๆ มากมาย แต่นั่นก็ทำให้เธอได้อยู่กับลูกๆ
การที่ต้องเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่มีลูกสี่คนอายุตั้งแต่วัยมัธยมต้นจนถึงวัยเรียนมหาวิทยาลัย Peña ทราบดีว่าในที่สุดแล้วเธอก็จะต้องหางานประจำใหม่ หรือเข้าร่วมระบบเศรษฐกิจแบบอาชีพอิสระหรือ gig Economy เพื่อให้มีรายได้อย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังไม่ใช่ในตอนนี้
การระบาดใหญ่ครั้งนี้ทำให้ผู้หญิงจำนวนมากต้องแบกรับภาระที่มากเกินไปในการดูแลลูกๆ หรือพ่อแม่ที่แก่ชรา และตอกย้ำบทบาทสำคัญที่พวกเธอมีต่อแรงงานในสหรัฐฯ มายาวนาน สหรัฐฯ ต้องสูญเสียงานหลายสิบล้านตำแหน่งหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่เมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างรวดเร็วและบรรดานายจ้างได้ประกาศรับสมัครงานกันมากเป็นประวัติการณ์ ผู้หญิงจำนวนมากก็ยังคงไม่กลับมาทำงาน ไม่ว่าจะด้วยความเต็มใจหรือไม่ก็ตาม
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเด็กๆ จะกลับไปเรียนหนังสือแล้ว แต่บรรดาแรงงานสตรีทั้งหลายก็ยังไม่ยอมกลับเข้าสู่ตลาดงานตามที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดไว้ และจำนวนผู้หญิงที่ทำงานหรือกำลังมองหางานกลับลดลงตั้งแต่เดือนสิงหาคมจนถึงกันยายน ซึ่งในทางกลับกันผู้ชายมีอัตราการหางานที่เพิ่มมากขึ้น
Nick Bunker ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจของเว็บไซต์หางาน Indeed ระบุว่าในบรรดาคุณแม่ที่มีลูกอายุไม่เกิน 13 ปี สัดส่วนผู้ถูกจ้างงานในเดือนกันยายนนั้นต่ำกว่าระดับก่อนเกิดโรคระบาดเกือบ 4% แต่สำหรับคุณพ่อที่มีลูกเล็ก อัตราดังกล่าวลดลงเพียง 1%
นักเศรษฐศาสตร์และผู้กำหนดนโนบายหลายๆ คน รวมทั้งนาย Jerome Powell ประธานระบบธนาคารกลางสหรัฐฯ คาดการณ์ว่าการเปิดโรงเรียนจะช่วยให้บรรดาคุณแม่กลับไปทำงานกันมากขึ้น แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่เกิดขึ้น ไวรัสสายพันธุ์เดลต้าทำให้โรงเรียนในหลายๆ พื้นที่ต้องปิดชั่วคราว ซึ่งอาจทำให้คุณแม่บางคนยังไม่อยากกลับไปทำงานในเดือนกันยายน
บรรดานักเศรษฐศาสตร์ยังคงหวังว่าการฉีดวัคซีนที่เพิ่มขึ้นจะทำให้มีผู้ติดเชื้อน้อยลง แต่อาจจะต้องใช้เวลาอีกหลายเดือนกว่าที่ผลกระทบจากการระบาดใหญ่ต่อการจ้างงานผู้หญิงจะฟื้นสภาพในบางส่วนได้
นอกจากปัญหาเรื่องการเลี้ยงลูกแล้ว ผู้เชี่ยวชาญยังชี้ให้เห็นถึงปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้ผู้หญิงบางคนไม่อยากทำงาน ทั้งนี้ จำนวนผู้คนที่ไม่ได้ทำงานเพราะต้องดูแลญาติพี่น้องที่ป่วยก็ยังคงมีสูงอยู่ และการสำรวจของ Indeed ยังพบว่าคนว่างงานจำนวนมากไม่ได้หางานทำอย่างจริงจังนักเพราะคู่สมรสของตนยังคงทำงาน
การวิเคราะห์ของสำนักงานสำมะโนประชากรสหรัฐฯ ระบุว่าเมื่อการระบาดใหญ่เริ่มขึ้นช่วงต้นปี 2020 นั้นมีคุณแม่ราวสามล้านห้าแสนคนที่มีลูกวัยเรียนต้องตกงาน ลางาน หรือออกจากตลาดแรงงานไปโดยสิ้นเชิง
รายงานฉบับใหม่ “Women in the Workplace” โดยบริษัทที่ปรึกษา McKinsey & Co. แสดงให้เห็นว่าการระบาดใหญ่ส่งผลต่อผู้หญิงทำงานอย่างมาก การสำรวจพบว่าหนึ่งในสามของผู้หญิงคิดที่จะออกจากงานหรือทำงานน้อยลงในช่วงปีที่ผ่านมา ซึ่งในช่วงต้นของการระบาดใหญ่มีผู้หญิงเพียง 1 ใน 4 เท่านั้นที่คิดว่าจะลาออกจากงาน
นอกจากนั้น รายงานดังกล่าวยังให้ตัวเลขด้วยว่าแรงงานสตรีรู้สึกเหนื่อยล้าหรือหมดไฟมากกว่าเมื่อปีที่แล้ว และช่องว่างของเรื่องนี้ระหว่างผู้หญิงกับผู้ชายก็เห็นได้ชัด เพราะในปีนี้ 42% ของแรงงานหญิงบอกว่าตนหมดไฟ เมื่อเทียบกับ 32% ในปี่ที่แล้ว ในขณะที่สำหรับผู้ชายนั้น 35% รู้สึกเบื่อหน่ายกับงานในปีนี้ เทียบกับ 28% ในปีที่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ยังมีผู้หญิงอีกหลายคนที่ไม่สามารถเลือกได้ แม้จะเป็นสิ่งที่ตนต้องการก็ตาม ในบรรดาผู้หญิงวัยทำงานหลายสิบล้านคน หลายๆ คนเป็นผู้หญิงผิวสี ทำงานค่าแรงต่ำและต้องดิ้นรนเพื่อหาเงินจ่ายค่าเช่า ค่าอาหาร ค่าสาธารณูปโภค และสิ่งจำเป็นอื่นๆ ในชีวิต
ที่มา: AP