Your browser doesn’t support HTML5
Robert Reinhart นักวิจัยที่มหาวิทยาลัยบอสตันกล่าวว่า ในอนาคตอาจจะมีคนไปใช้บริการที่คลินิคเพื่อการเพิ่มประสิทธิภาพการจำ ซึ่งลดน้อยลงไปทั้งในผู้สูงอายุและผู้มีภาวะสมองเสื่อมอย่างเช่นโรคอัลไซเมอร์ก็เป็นได้ และว่าการบำบัดรักษาดังกล่าวนี้มุ่งกระตุ้น "ความจำเพื่อการใช้งานระยะสั้น" ที่สามารถเก็บข้อมูลไว้ในสมองชั่วคราวในขณะที่ทำงานไปด้วยซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการคิดเลขในใจ การทานยา การจ่ายบิล การจำรายการเพื่อซื้อของในซูเปอร์มารเกต หรือการวางแผนต่างๆ เป็นต้น
การศึกษาครั้งใหม่นี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่แสดงให้เห็นว่าการกระตุ้นสมองสามารถกระตุ้นความจำระยะสั้นเพื่อการใช้งานในชีวิตประจำวันได้ และนักวิจัย Reinhart กล่าวว่าการทดลองในผู้สูงอายุประสบความสำเร็จอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากความสามารถในการจำนี้จะยังคงอยู่เกือบหนึ่งชั่วโมงหลังจากการกระตุ้นสมองสิ้นสุดลง
ในการทดลองนี้กระแสไฟฟ้าจะถูกส่งเข้าไปยังสมองผ่านหมวกครอบศีรษะที่คอยตรวจคลื่นสมองอยู่ และทำให้ผู้เข้าร่วมการศึกษาอาจรู้สึกชาเล็กน้อย มีอาการคัน หรือมีความรู้สึกเหมือนถูกเข็มเล็กๆ แทงอยู่เป็นเวลาประมาณ 30 วินาที หลังจากนั้นผิวหนังก็จะชินกับกระแสไฟฟ้าจนไม่รู้สึกอะไรไปเอง
แนวคิดของนักวิจัยในการกระตุ้นสมองด้วยกระแสไฟฟ้า คือการทำให้การสื่อสารระหว่างเยื่อหุ้มสมองสมองส่วนหน้าและสมองส่วนขมับด้านซ้ายดีขึ้น เพราะบางครั้งสมองทั้งสองส่วนขาดการประสานงานกัน
การศึกษาครั้งนี้ประกอบไปด้วยผู้เข้าร่วมช่วงวัย 20 ปี 42 คน และที่มีอายุระหว่าง 60 ถึง 76 ปีอีก 70 คน
การทดลองกระตุ้นสมองแบบหลอกยืนยันว่ากลุ่มผู้สูงอายุมีความแม่นยำน้อยกว่ากลุ่มที่อายุน้อยกว่า แต่ในช่วงระหว่างและหลังจากการกระตุ้นสมองจริงนาน 25 นาที ทั้งสองกลุ่มทำได้ดีพอๆ กันโดย ความจำระยะสั้นนี้จะยังคงอยู่อย่างน้อยอีก 50 นาทีหลังจากการกระตุ้นสมองสิ้นสุดลง
นักวิจัยกล่าวว่าขณะนี้ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าประโยชน์เรื่องการช่วยปรับปรุงความจำจากการใช้กระแสไฟฟ้ากระตุ้นสมองนี้จะอยู่ได้นานแค่ไหน แต่งานวิจัยก่อนหน้านี้ชี้ให้เห็นว่าความจำระยะสั้นอาจจะอยู่ได้นานถึงห้าชั่วโมงหรือมากกว่านั้นหลังจากที่การกระตุ้นสิ้นสุดลง
Robert Reinhart เห็นด้วยว่าจำเป็นต้องมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมก่อนที่นำไปทดสอบเพื่อการบำบัดรักษาอย่างเป็นทางการได้
ข้อมูลด้านประชากรของสหรัฐระบุว่าภายในปี 2030 หรืออีก 11 ปีต่อจากนี้ราว 20 เปอร์เซ็นต์ของคนอเมริกันจะมีอายุวัยเกษียณ และเรื่องนี้จะเพิ่มความต้องการเรื่องการดูแลทางการแพทย์ขึ้นอีกมากด้วย