รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ประณามสิ่งเรียกว่า เป็น “ความร่วมมือทางทหาร “ที่อันตรายและมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น” ระหว่างเกาหลีเหนือและรัสเซีย หลังมีรายงานว่ากรุงเปียงยางทำการนำส่งอาวุธให้กับกรุงมอสโกเพื่อใช้ในสงครามรุกรานยูเครน
แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวระหว่างการแถลงข่าว หลังร่วมประชุมกับ ปาร์ค จิน รัฐมนตรีต่างประเทศเกาหลีใต้ว่า “นี่คือประเด็นที่นำมาซึ่งความกังวลอย่างมากสำหรับเราทั้งสอง รวมทั้งประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกด้วย”
หน่วยงานสายลับของเกาหลีใต้เชื่อว่า เกาหลีเหนือนำส่งกระสุนปืนใหญ่กว่า 1,000,000 ลูกให้กับมอสโกตั้งแต่เมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งมีการประเมินว่า เป็นจำนวนที่สามารถนำไปใช้สนับสนุนการทำสงครามของรัสเซียในยูเครนได้ถึงราวสองเดือน
Your browser doesn’t support HTML5
บลิงเคนกล่าวเสริมว่า ส่วนรัสเซียเองก็ตอบแทนเกาหลีเหนือด้วยการนำส่ง “การสนับสนุนและเทคโนโลยีต่าง ๆ” ให้กับโครงการทางทหารของเกาหลีเหนือ โดยไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดใด ๆ เพิ่มเติม
บลิงเคนกล่าวด้วยว่า สหรัฐฯ เกาหลีใต้และประเทศอื่น ๆ จะเดินหน้าความพยายามในการ “บ่งชี้ เปิดโปงและตอบโต้” ธุรกรรมทางทหารระหว่างเกาหลีเหนือและรัสเซีย ซึ่งรวมถึงการยกระดับแรงกดดันที่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติด้วย
เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ในการประชุมกับ คิม จอง อึนผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือ ในรัสเซีย ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แสดงท่าทียืนยันว่า กรุงมอสโกกำลังช่วยเหลือกรุวเปียงยางในการก่อสร้างดาวเทียม พร้อมกับยอมรับว่า มีข้อจำกัดบางประการที่อาจทำให้ความร่วมมือครั้งนี้ไม่ราบรื่นนัก
SEE ALSO: 'คิม จอง อึน' จบภารกิจเยือนรัสเซีย มุ่งหน้ากลับเปียงยางทั้งนี้ เกาหลีเหนือพยายามสร้างดาวเทียมสอดแนมทางทหารมาแล้วสองครั้งในปีนี้ แต่ก็ต้องประสบความล้มเหลว ขณะที่ เจ้าหน้าที่กองทัพเกาหลีใต้คาดว่า กรุงเปียงยางอาจพยายามอีกครั้งในปลายเดือนนี้ ซึ่งมีความเป็นไปได้ หลังได้รับความช่วยเหลือจากรัสเซีย
นักวิเคราะห์บางรายเกรงกลัวว่า แรงสนับสนุนของรัสเซียต่อโครงการพัฒนานิวเคลียร์ของเกาหลีเหนืออาจจะยิ่งทำให้ความเสี่ยงและอันตรายต่าง ๆ ขยายวงกว้างมากขึ้น
อย่างไรก็ดี ทั้งรัสเซียและเกาหลีเหนือต่างปฏิเสธว่า กรุงเปียงยางนำส่งอาวุธให้รัสเซียใช้ในสงครามในยูเครน แต่ภาพถ่ายดาวเทียมต่าง ๆ แสดงให้เห็นว่า มีการนำส่งเสบียงหลายครั้งจากเกาหลีเหนือไปยังท่าเรือรัสเซีย โดยการขนส่งทั้งหลายนั้นมักไปจบลงที่โรงเก็บยุทโธปกรณ์ของรัสเซียซึ่งตั้งอยู่ห่างจากชายแดนรัสเซีย-ยูเครนเพียง 200 กิโลเมตรเท่านั้น
- ที่มา: วีโอเอ