Your browser doesn’t support HTML5
หลังจากเข้ารับตำแหน่งได้ราวหนึ่งเดือน ดูเหมือนว่าประธานาธิบดีไบเดนกำลังพยายามแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างทั้งในแง่รูปแบบของการทำงานและเนื้อหาด้านนโยบายเมื่อเทียบกับผู้นำคนก่อน
แต่นักวิเคราะห์การเมืองบางคนก็เตือนว่าช่วงสองสามเดือนแรกนี้อาจจะเป็นเวลาสั้นๆ ของการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ เพราะปัญหาท้าทายที่รอรัฐบาลของประธานาธิบดีไบเดนยังมีอีกหลายเรื่อง ซึ่งรวมถึงการคัดค้านจากฝ่ายรีพับลิกันและเสียงตำหนิของฝ่ายเดโมแครตเองด้วย
ขณะนี้ดูเหมือนว่ากลยุทธทางการเมืองของรัฐบาลชุดประธานาธิบดีไบเดนคือการทำให้คนอเมริกันได้เห็นการทำงานภายใต้ป้าย “Under New Management” ซึ่งแตกต่างจากทีมงานบริหารชุดก่อนทั้งในแง่รูปแบบและเนื้อหาด้านนโยบาย โดยประธานาธิบดีไบเดนได้ทำทุกอย่างภายใต้อำนาจของตนที่ไม่ต้องอาศัยความเห็นชอบจากสภาเพื่อเปลี่ยนหรือยกเลิกนโยบายเดิมของประธานาธิบดีทรัมป์ นับตั้งแต่ด้านสิ่งแวดล้อม การเข้าถึงการประกันสุขภาพ การกลับเข้าเป็นสมาชิกองค์การอนามัยโลก และการสร้างความเชื่อมั่นให้กับบรรดาประเทศพันธมิตร เป็นต้น
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ประชาคมโลกยังสนใจจับตามองขณะนี้คือการที่ประธานาธิบดีไบเดนจะสามารถเพิ่มความช่วยเหลือให้กับประเทศที่ยากจนเพื่อรับมือกับโรคโควิด-19 ได้อย่างไร ไปจนถึงเรื่องความจริงใหม่ในระเบียบความสัมพันธ์ของโลก ซึ่งในช่วงสี่ปีที่ผ่านมาจีนได้ก้าวเข้ามาแทนที่สหรัฐฯ ในหลายด้าน รวมทั้งการที่หลายประเทศได้เรียนรู้ที่จะพึ่งพาตนเองมากขึ้นจากประสบการณ์ในยุค “America First” ของโดนัลด์ ทรัมป์นั่นเอง
แต่สำหรับในด้านนโยบายภายในประเทศนั้น ประธานาธิบดีไบเดนมีโอกาสอย่างสูงที่จะบรรลุเป้าหมายเรื่องมาตรการกอบกู้เศรษฐกิจมูลค่า 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ถึงแม้จะมีเสียงคัดค้านจากสมาชิกพรรครีพับลิกันบางส่วน
อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์การเมืองของพรรคเดโมแครตเองอย่างเช่นนายจิม แมนลีย์ได้เตือนว่าช่วงฮันนีมูนระหว่างประธานาธิบดีไบเดนกับพรรคเดโมแครตรวมทั้งกับพรรครีพับลิกันนั้นอาจจะมีอยู่เพียงสั้นๆ เพราะหลังจากนี้ปัญหาต่างๆ ที่มีโอกาสสร้างความขัดแย้งทางการเมืองก็พร้อมที่จะก่อตัวขึ้น
โดยเรื่องดังกล่าวก็มีตั้งแต่การยกเลิกหนี้เงินกู้การศึกษารายละ 50,000 ดอลลาร์ การขึ้นภาษี การควบคุมธุรกิจด้านพลังงานไปจนถึงปัญหาที่เรื้อรังของการเมืองอเมริกันหลายชั่วอายุคน นั่นคือเรื่องที่ว่าใครควรได้สิทธิ์เป็นพลเมืองอเมริกัน รัฐบาลควรรับภาระค่าใช้จ่ายเรื่องการดูแลสุขภาพของประชาชนมากน้อยแค่ไหน รวมทั้งสิทธิ์ในการมีอาวุธปืน เป็นต้น
ตัวอย่างของเรื่องนี้ก็คือร่างกฎหมายคนเข้าเมืองที่ทำเนียบขาวเปิดเผยเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้วโดยให้สัญญาว่าจะเปิดโอกาสการได้สัญชาติอเมริกันสำหรับคนต่างด้าวในสหรัฐฯ หลายล้านคนหลังจากที่ใช้เวลา 8 ปีนั้นถูกคัดค้านโดยวุฒิสมาชิกของพรรคเดโมแครตเอง และการที่ประธานาธิบดีไบเดนไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอให้ยกเลิกหนี้มูลค่า 50,000 ดอลลาร์กับนักศึกษาอเมริกันที่ต้องกู้เงินเรียนก็ถูกสมาชิกพรรคเดโมแครตแนวก้าวหน้าบางคนตำหนิโจมตีเช่นกัน
ขณะนี้ความหวังของทำเนียบขาวที่จะได้รับความร่วมมือจากทั้งสองพรรคคือแผนงานเพื่อปรับปรุงระบบโครงสร้างพื้นฐานของประเทศที่คาดว่าจะต้องใช้เงินลงทุนหลาย ล้านล้านดอลลาร์ แต่ที่คาดว่าจะมาควบคู่กับข้อเสนอนี้คือการจัดเก็บภาษีเพิ่มเติมและก็เป็นที่แน่นอนว่าวงเงินลงทุนรวมทั้งมาตรการขึ้นภาษีจะต้องถูกคัดค้านจากพรรครีพับลิกันอย่างแน่นอน
ขณะนี้ประธานาธิบดีไบเดนยังมีข่าวค่อนข้างดีอยู่คือ 56% ของคนอเมริกันเห็นด้วยกับการทำงาน แต่ตัวเลขยอมรับที่ว่านี้มาจากพรรครีพับลิกันเพียง 20% เท่านั้นเอง และนายพอล ชูเมกเกอร์ นักวางแผนกลยุทธการเมืองของพรรครีพับลิกันก็บอกว่าขณะที่ทางพรรคกำลังพยายามปรับตัวและพยายามรวมตัวกันใหม่ในยุคหลังโดนัลด์ ทรัมป์นั้น โจ ไบเดนจะมีส่วนช่วยให้พรรครีพับลิกันผนึกกำลังกันได้ง่ายขึ้นหากเขาพยายามใช้จ่ายเงินหรือขึ้นภาษีมากเกินไป แต่ในทางกลับกันความพยายามที่น้อยเกินไปในสองเรื่องนี้ก็จะทำให้สมาชิกของพรรคเดโมแครตบางส่วนไม่พอใจเช่นกัน
และด้วยเหตุผลของความขัดแย้งแตกต่างที่เป็นธรรมชาติสำหรับการเมืองอเมริกันที่ว่านี่เอง นายพอล ชูเมกเกอร์ นักวางแผนการเมืองของพรรครีพับลิกันจึงเชื่อว่าถึงแม้ประธานาธิบดีโจ ไบเดนจะกำลังรื่นรมย์อยู่กับช่วงเวลาของการฮันนีมูนอยู่แต่ทุกคนก็รู้ดีว่าเวลาของความรื่นรมย์ที่ว่านี้กำลังจะจบลงในไม่ช้า