ชาวอเมริกันที่ต้องทำงานและใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่กับบ้าน บวกกับช่องทางการใช้จ่ายเงินที่ลดลง ช่วงการระบาดของโควิด-19 ในประเทศ ทำให้เงินทุนจากกระเป๋าเงินคนอเมริกันหลั่งไหล่เข้าสู่ตลาดหุ้นและกองทุนกันคึกคัก ตามรายงานของรอยเตอร์
เมื่อวันอังคาร รายงาน U.S. Consumer Dynamics Report ซึ่งสะท้อนพฤติกรรมของผู้บริโภคชาวอเมริกัน ในไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้ว พบว่า 20% ของผู้บริโภคอเมริกัน ลงทุนในหุ้นและกองทุน เพิ่มขึ้นจาก 15% ในไตรมาสที่สองของปีที่แล้ว และผู้บริโภคอเมริกัน เก็บออมเงินในบัญชีลดลง 43% ในไตรมาสสี่ของปีก่อน จากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ต่ำใกล้ศูนย์
เดนิส ดาห์ลฮอฟฟ์ นักวิจัยอาวุโสจาก Conference Board ผู้จัดทำรายงานฉบับนี้ ระบุว่า ทิศทางอัตราดอกเบี้ยระดับต่ำ ความกังวลเรื่องภาระหนี้สินที่ลดลงไป บวกกับการใช้จ่ายเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจหรือกิจกรรมนอกบ้านที่ลดลงในช่วงการระบาดของโควิด-19 ในสหรัฐฯ ทำให้ชาวอเมริกันมีเงินในมือมากขึ้นแต่มีหนทางในการใช้ที่น้อยลงกว่าปกติ ดังนั้น การลงทุนในหุ้นและสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่ดี จึงดึงดูดนักลงทุนหน้าใหม่ในอเมริกามากขึ้น
ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ ผู้บริโภคชาวอเมริกัน หันไปลงทุนกับการปรับปรุงต่อเติมบ้าน เพิ่มขึ้น 24% จาก 21% เมื่อไตรมาสสองของปีก่อน และปัจจุบันที่โควิดระบาดต่อเนื่องเข้าสู่ปีที่สอง ชาวอเมริกันมีระดับการใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวพักผ่อนลดลงถึง 24% นอกจากนี้ยังใช้เงินซื้อเสื้อผ้าลดลง ซื้ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ลดลง และใช้เงินเพื่อความบันเทิงนอกบ้าน รวมถึงใช้เงินเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพลดลงด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม การระบาดของโควิด-19 ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางรายได้ที่มากขึ้นในอเมริกา จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เป็นไปในรูปแบบ K-shaped recovery ที่คนรายได้สูงจะกลับมาฟื้นตัวดีขึ้น ขณะที่คนรายได้น้อยจะย่ำแย่ลงไป จากที่ตอนนี้ชาวอเมริกันอย่างน้อย 17.8 ล้านคน ยังพึ่งพาสวัสดิการคนว่างงานในสหรัฐฯตอนนี้
ในการสำรวจนี้ ชี้ว่า ผู้บริโภคอเมริกัน 26% ไม่มีเงินจ่ายหนี้บัตรเครดิตและภาระหนี้รูปแบบอื่นๆ แม้จะลดลงจากไตรมาสสองของปีก่อน ที่ 29% ของชาวอเมริกันไม่สามารถชำระหนี้ได้ แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในระดับสูง ขณะที่มีชาวอเมริกันไม่ถึง 1 ใน 5 ที่ไม่ได้ลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ รองรับวัยเกษียณ และอีก 10% ยอมรับว่าไม่มีเงินเก็บไว้ใช้ยามฉุกเฉิน