ผลสำรวจชี้คนอเมริกันเปิดใจมากขึ้นให้กับ “รถไร้คนขับ”

FILE - Optimus Ride launches a self-driving car at the Brooklyn Navy Yard in the Brooklyn borough of New York City, Aug. 5, 2019.

Your browser doesn’t support HTML5

Self Driving Car

สำนักข่าวรอยเตอร์ อ้างรายงานจาก Adobe Analytics ในช่วงเดือนตุลาคม ที่ระบุราว 40% ของคนอเมริกันมีแนวโน้มที่จะซื้อรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติในอนาคต โดยสำรวจจากชาวสหรัฐฯ ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปจำนวน 1,040 คน

พวกเขาหวังว่าจะได้กินขนม พิมพ์ตอบแชท ดูรายการโปรด หรือส่งอีเมล์ ขณะที่รถเคลื่อนตัวไปแบบไร้คนขับ ซึ่งพื้นที่ในรถจะกลายเป็นเสมือนบ้านหรือออฟฟิศขนาดย่อม

บริษัทเทคโนโลยีและบริษัทยานยนต์ชั้นนำระดับโลกได้ลงทุนนับพันล้านดอลลาร์เพื่อพัฒนารถยนต์ขับเคลื่อนแบบอัตโนมัติ แต่ในความเห็นของผู้เชี่ยวชาญในแวดวงยนตรกรรมกลับเห็นว่าจะต้องใช้เวลาอีกนานหลายปี กว่าที่อุตสาหกรรมรถยนต์จะพัฒนาไปถึงจุดที่ปราศจาการควบคุมโดยมนุษย์แบบ 100%

ในเดือนตุลาคม บริษัทฮุนได ผู้ผลิตรถยนต์จากประเทศเกาหลีใต้ ได้เปิดเผยแผนการลงทุนในรถไร้คนขับและระบบที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตาม ยังถือว่าไล่ตามอีกหลายบริษัทที่ได้พัฒนาไปก่อนหน้า อย่างเช่น บริษัท GM หรือ General Motors บริษัท Uber บริษัท Lyft และบริษัท Apple ซึ่งการขับเคี่ยวนี้ยังยากที่จะบอกว่าใครจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำ

รายงานปีที่แล้วจากหน่วยงานภาครัฐในแคลิฟอร์เนีย ระบุว่า โครงการอย่างเช่น Waymo ของ Alphabet และ GM Cruise ที่ได้รับเงินลงทุนจากกองทุน $100 billion Vision Fund ที่มีบริษัทข้ามชาติ SoftBank Group ให้การสนับสนุน ได้ทดสอบสมรรถนะรถไร้คนขับไปมากกว่า 2 หมื่น 5 พันกิโลเมตร

ทางด้านบริษัท BMW ผู้ผลิตรถยนต์จากประเทศเยอรมันนีก็ได้จับมือกับบริษัท Tencent Holdings ผู้ผลิตเกมส์ออนไลน์รายใหญ่สัญชาติจีน ร่วมพัฒนาศูนย์คอมพิวเตอร์ในประเทศจีน

กลุ่มมิลเลนเนียลส์ (Millennials) คือคนที่ให้การตอบรับรถยนต์ไฟฟ้า รถยนต์ไฮบริด และรถยนต์เชื่อมต่ออินเตอร์เนต (connected car) มากที่สุด จากผลการสำรวจนี้ ยังระบุอีกว่า แนวโน้มของผู้ขับขี่ในสหรัฐฯให้การสนับสนุนรถยนต์ไร้คนขับเพิ่มขึ้นกว่า 35% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

โดยผู้ซื้อรถในอเมริกาจำนวนมากมักจะสอบถามว่า รถมีระบบตัวช่วยอย่างคุณสมบัติขับเคลื่อนกึ่งอัตโนมัติ (self-driving features) หรือไม่ รวมทั้งมีผู้ที่ให้ความสนใจกับรถที่สามารถเชื่อมต่อกับอินเตอร์เนตได้เป็นจำนวนมากแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน