ศรีลังกา กำลังพยายามปิดฉากสงครามการเมือง อันนองเลือดในประเทศ

ศรีลังกากำลังพยายามปิดฉากสงครามกลางเมืองอันนองเลือด โดยการประกาศว่าชะนะพวกขบถ ผู้พยายามแบ่งแยกศรีลังกาตามแนวเชื้อชาติ และภูมิศาสตร์นั้นโดยสมบูรณ์

หลังจากประธานาธิบดีศรีลังกาให้คำมั่นว่าจะให้ชาวศรีลังกาทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันแล้วไม่นานนัก ชาวศรีลังกาทั้งประเทศก็ได้เห็นภาพที่อ้างว่า เป็นศพของหัวหน้าของพวกขบถพยัฆทมิฬ อีลามซึ่งเป็นผู้ที่คนกลัวเกรงกันนั้น

ประธานาธิบดีศรีลังกา มหินธา ราชปักษา กล่าวปราศรัยต่อรัฐสภา ซึ่งมีการแพร่ภาพทางโทรทัศน์ไปทั่วประเทศ โดยเขาประกาศอย่างเป็นทางการว่า สงครามกลางเมืองที่ดำเนินมาหลายสิบปีนั้นปิดฉากลงแล้ว เขาเริ่มคำปราศรัยเป็นภาษาทมิฬ โดยกล่าวทวนความจำให้ฟังว่าในรอบสามสิบปีที่ผ่านมา ขบวนการปลดปล่อย พยัฆทมิฬ อีลามฆ่าผู้คนไปมากมาย แต่เขาอ้างว่าทหารศรีลังกามิได้สู้รบต่อต้านชาวทมิฬ

ประธานาธิบดีศรีลังกากล่าวไว้ตอนนี้ว่า "เขามีหน้าที่และความรับผิดชอบ ที่จะต้องคุ้มครองประชากรส่วนที่พูดภาษาทมิฬ และทุกคนควรพำนักอยู่ในประเทศ โดยเสมอภาคกันและไม่ต้องหวาดกลัวหรือเคลือบแคลงสงสัยใดๆ"

ต่อจากนั้น ประธานาธิบดีศรีลังกาหันไปพูดภาษาของชาวสิงหล ซึ่งเป็นฝ่ายข้างมาก โดยเขากล่าวว่าจำเป็นต้องหาทางออกทางการเมือง หาใช่ทางการทหารไม่ มาปรับปรุงความเป็นอยู่ของชาวทมิฬ ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยนั้นให้ดีขึ้น แต่เขากล่าวด้วยว่า ศรีลังกาไม่มีเวลาพอที่จะนำทางแก้ปัญหาต่างๆที่ประเทศอื่นๆ เสนอแนะนั้นมาทดลองปฏิบัติดู และจะขบแก้ปัญหาด้วยตนเอง

หลังจากประธานาธิบดีศรีลังกากล่าวปราศรัยเสร็จแล้ว สถานีโทรทัศน์ศรีลังกาแพร่ภาพวิดีทัศน์ที่เป็นภาพศพลืมตาค้าง ซึ่งดูคล้ายกับศพนาย เวลูปิลไล ประภาการาน หัวหน้าของขบวนการปลดปล่อยพยัฆทมิฬ อีลามในชุดออกรบนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ดูเหมือนว่าเขาถูกยิงตาย

ชาวทมิฬบางส่วนดูภาพเหล่านั้นแล้ว ยังไม่เชื่อว่านาย เวลูปิลไล ประภาการานเสียชิวิตไปแล้วจริง

รัฐมนตรี เคเฮลียา รามบุกเวลลา ผู้แถลงข่าวของกระทรวงกลาโหมกล่าวไว้ตอนนี้ว่า "จะมีการปฏิบัติต่อศพของนายเวลูปิลไล ประภาการานอย่างสมเกียรติ โดยสัปเหร่อจะนำศพของเขาบรรจุลงในโลงเพราะอย่างไรก็ตามเขายังมีเกียรติอยู่บ้าง"

นายเวลูปิไล ประภาการานเป็นคนเริ่มนำมือระเบิดพลีชีพ มาปฏิบัติงานอย่างแพร่หลาย โดยมุ่งสังหารนักการเมืองชาวสิงหล ชาวทมิฬและชาวอินเดีย

หลายประเทศวิพากษ์ตำหนิทั้งสองฝ่าย ในเรื่องการปฏิบัติต่อพลเรือนระหว่างสงครามกลางเมือง ดูเหมือนว่า พลเรือนเสียชิวิตนับพันๆ รายระหว่างการรุกรบครั้งสุดท้ายในปีนี้ การสู้รบทำให้ชาวทมิฬอาจถึงสามแสนคนต้องพลัดถิ่นฐาน และการนำพวกเขากลับมาสู่

ชุมชนที่ประสพภัยจากสงครามนั้น เป็นงานที่ท้าทายความสามารถอย่างใหญ่โตเรื่องแรก ที่ศรีลังกาเผชิญอยู่