หลังจากประธานาธิบดีเปเวซ มูชาราฟ แห่งปากีสถาน ประกาศใช้ภาวะฉุกเฉิน เพื่อควบคุมสถาการณ์ความมั่นคงภายในประเทศ ปากีสถานจึงตกอยู่ในความไม่แน่นอน
คนไทยหลายคนต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า รู้สึกหวั่นเกรงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะคาดเดาอะไรไม่ได้เลย
คุณพรรณี เทลเลอร์ ซึ่งติดตาม สามีชาวอังกฤษที่ทำงานกับสถานทูตอังกฤษมาอยู่ในกรุง อิสลามบัดได้ไม่กี่เดือน เล่าให้วีโอเอภาคภาษไทยฟังว่า ความไม่แน่นอนในปากีสถาน ทำให้รู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก ในการที่จะออกไปข้างนอก ต้องตระหนักเสมอว่า ไม่ควร จะไปซื้อของนานนัก หรือไปทำธุระนานนัก ควรจะรีบทำแล้วก็รีบกลับ
คุณพรรณีบอกกับวีโอเอภาคภาษาไทยว่าทางสถานทูตอังกฤษได้ตักเตือนคนของตนและ ครอบครัวให้ระมัดระวังตัวและให้เตรียมพร้อมเสมอ เผื่อว่าสถานการณ์เลวร้าย ถึงขนาด ต้องอพยพ
พรรคทางฝ่ายความปลอดภัยก็เตือนเสมอ ว่าไม่ให้เสี่ยง ไม่ให้ไปอยู่ในที่ชุุมนุมชน หรือถ้า เห็นว่ารถจะติดในที่ชุมนุมชน ต้องรีบตีออกทันที ตัวคุณพรรณีก็จัดกระเป๋าให้ตัวเองและสามีด้วย เตรียมเอกสารพาสปอร์ต เงินต่างประเทศ เพื่อให้หยิบฉวยได้ทันที เพราะไม่ทราบว่าจะมีเหตุการณ์ฉุกเฉินขึ้นมาเมื่อไหร่ แล้วถ้าเกิดอะไรขึ้น ก็คว้ากระเป๋าได้ทันที
แต่การอพยพออกจากปากีสถานในกรณีที่เหตุการณ์ถึงขึ้นรุนแรง คงไม่ใช่ทางเลือกสำหรับ ทุกคน โดยเฉพาะ คุณรุ่งอรุณ บ้าค ที่แต่งงานกับ ชาวปากีสถาน และตั้งรกรากอยู่ที่นี่ คุณรุ่งอรุณ บอกกับวีโอเอภาคภาษาไทยว่า เธอต้องอ่านหนังสือพิพม์ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง แล้วก็ต้องคอยระวังตัวเอาไว้ ดูว่าเวลามีชุมนมที่ไหนก็ไม่ไปตรงนั้น เพราะกลัวระเบิด
ส่วนคุณนุทิศ พุกคะนุสุท ผู้จัดการสำนักงานขายตั๋วการบินไทยที่กรุงอิสลามบัด เล่าให้ วีโอเอภาคภาษาไทยฟังว่า แม้ว่าทางสถานทูตไทยยังไม่ได้เตือนเป็นทางการ แต่ก็ได้เตือน เป็นคำพูดปากต่อปากให้คนไทยระมัดระวังตัว
คุณนุทิศบอกว่าทางสถานทูตไทยบอกมาว่า พยายามอย่าไปอยู่แหล่งชุมชนเพราะว่า เราไม่ทราบว่าเหตุการณ์ ไม่คาดฝันอะไรจะเกิดขึ้น แต่ทุกวันนี้ก็พยายามไม่ไปไหนที่เสี่ยง ทางสถานทูตบอกอีกว่ามีแผนการสามขั้นตอน ถ้าเกิดเหตุการณ์เลวร้าย ขึ้นที่หนึ่งก็คือ ให้คนไทยไปอยู่กันที่สถานทูต ไปรวมตัวกัน ที่สถานทูตไทยหรือ ที่เรียกกันว่าทำเนียบไทย เหตุการณ์รุนแรงขึ้นที่สองก็อาจจะต้องย้ายคนขึ้นไปอยู่บนภูเขา และเหตุการณ์รุนแรง ขึ้นที่สามก็ต้องอพยพโยกย้ายกลับประเทศไทย