พระภิษุสงฆ์ และแม่ชีพม่า ร่วมประท้วงนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลทหาร

เมื่อวันจันทร์ชาวพม่านับหมื่นๆ คน ซึ่งในจำนวนนี้เป็นพระภิษุสงฆ์ และแม่ชีประมาณ 1 หมื่นรูป เดินขบวนประท้วงท่ามกลางสายฝนในกรุงย่างกุ้ง

นับเป็นการประท้วงนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลทหารที่ปกครองพม่าติดต่อกันเป็นวันที่ 6 การประท้วง ที่ว่านี้ทำให้เกิดความวิตกกังวลกันว่า คณะทหารจะใช้วิธีปราบปรามประชาชนอย่างรุนแรง

การประท้วงดังกล่าวเริ่มขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ จากการที่พระสงฆ์ของพม่าเริ่มการประท้วงเมื่อสัปดาห์ก่อน หลังจากที่รัฐบาลพม่า ไม่ยอมออกมาขอโทษจากการที่เจ้าหน้าที่ใช้กำลังเข้าทุบตีพระบางรูปในระหว่างการประท้วงเรื่องการขึ้นราคาน้ำมันที่เมืองพาโกกุเมื่อ 3 สัปดาห์ที่แล้ว และในขณะนี้ก็เริ่มจะมีข่าวลือและความวิตกกังวลว่ารัฐบาลพม่าอาจจะใช้กำลังเข้าปราบปราม

นายโรชาน เจสัน ผู้อำนวยการบริหารของกลุ่มความร่วมมือระหว่างสมาชิกรัฐสภาอาเซียนเกี่ยวกับเรื่องพม่าให้ความเห็นว่า มีนักนิติบัญญัติของประเทศในอาเซียนหลายคนที่เชื่อว่า ขณะนี้ถึงเวลาแล้วที่ประเทศสมาชิก สมาคมอาเซียนจะต้องออกมาเปลี่ยนท่าทีใหม่ที่ใช้กับพม่า เพราะว่าท่าทีเดิมที่ผ่านมา รวมทั้งมาตรการที่ประเทศสมาชิกสมาคมอาเซียนใช้กับพม่านั้น เรียกได้ว่าล้มเหลว

ส่วนอาจารย์คาร์ล เทเยอร์ นักวิเคราะห์ทางด้านกิจการทหารของมหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลในออสเตรเลีย กล่าวว่าในอดีตนั้นรัฐบาลทหารของพม่ามักจะพยายามเป็นผู้กำหนดจังหวะย่างก้าวของการปฏิรูปทางการเมือง โดยไม่ยอม ให้ใครเข้ามากดดันหรือยุ่งเกี่ยวด้วย และในครั้งนี้ อจ.เทเยอร์บอกว่า ตนรู้สึกเกรงว่า อาจจะมีการใช้กำลังเข้าปราบ ปรามขนานใหญ่ เหมือนอย่างที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปี คศ. 1988 เพราะว่าการประท้วงครั้งนี้เรียกได้ว่าได้รับการสนับสนุนจากประชาชนเพิ่มมากขึ้น และคณะทหารของพม่าเองก็ได้แสดงท่าทีว่าตนนั้นไม่ต้องการให้ใครเข้ามากดดันเรื่องนี้

อจ.คาร์ล เทเยอร์ บอกด้วยว่าสิ่งที่ตนรู้สึกวิตกกังวลอีกด้านหนึ่งนั้น ก็คือว่าขณะนี้ดูเหมือนจะไม่มีการใช้แนวทางสายกลางในหมู่คณะผู้ปกครองทหารของพม่า ถึงแม้ อจ.คาร์ล เทเยอร์จะบอกว่าแนวโน้มที่เคยเกิดขึ้นของการใช้ทหารของ พม่านั้นคือการใช้กำลังเข้าปราบปรามก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าวิธีดังกล่าวอาจจะไม่ใช่วิธีหรือทางออกที่ง่ายนัก สำหรับรัฐ บาลทหารของพม่า เพราะเช่นเดียวกันกับประเทศที่นับถือศาสนาพุทธต่างๆ พระภิกษุสงฆ์ของพม่านั้นถือได้ว่า เป็นผู้ที่ ได้รับความยอมรับนับถือในสังคม และคงจะเป็นการยากที่รัฐบาลพม่าจะใช้กำลังเข้าปราบปรามกับคนกลุ่มนี้