ปัญหาราคาน้ำมันในสหรัฐอเมริกา

การสำรวจใหม่ของสหพนธ์ผู้บริโภคแห่งอเมริกา ซึ่งเป็นกลุ่มองค์การซึ่งไม่แสวงหาผลกำไร ที่มีสมาชิก 300 กลุ่มแสดงว่า คนอเมริกันไม่พอใจที่สหรัฐต้องขึ้นอยู่กับน้ำมันที่สั่งเข้าจากต่างประเทศ

สตีเฟ่น โบลเบก ผู้อำนวยการบริหารขององค์การดังกล่าว กล่าวว่าส่วนใหญ่แล้วนอกจากจะวิตกเรื่องปริมาณ และราคาน้ำมันในอนาคต คนอเมริกันราว 60% ยังวิตกว่าจะมีการนำรายได้จากน้ำมันไปใช้เป็นทุนในการก่อการร้าย และสนับสนุนรัฐบาลประเทศที่ไม่เป็นมิตรด้วย

ในการปราศรัยแสดงภาวะสหรัฐเมื่อต้นปี ประธานาธิบดีบุช ขอให้คนอเมริกันเลิกติดการใช้น้ำมันจากต่างประเทศ ผู้อำนวยการงานวิจัยเรื่องนี้กล่าวว่า อเมริกาใช้น้ำมันราว 25% ของน้ำมันดิบของโลก และราว 25% ของน้ำมันเบนซินของโลก แต่มีเเหล่งน้ำมันดิบสำรองอยู่เพียง 3% ของโลกเท่านั้น

มาร์ค คูเปอร์ ผู้อำนวยการงานวิจัยของสหพันธ์ผู้บริโภคกล่าวว่าสถานการณ์ของสหรัฐในตอนนี้ก็คือ ภายในสิ้นเดือนพฤษภาคมนี้ สหรัฐจะบริโภคน้ำมันดิบในปริมาณพอๆ กับการผลิตทั้งหมดของสหรัฐสำหรับปีนี้ ซึ่งเท่ากับว่าจะใช้การผลิตภายในประเทศหมดภายในเดือนพฤษภาคม และหลังจากนี้ไปตลอดปีจะต้องสั่งน้ำมันเข้าประเทศ สหพันธ์ผู้บริโภคเชื่อว่าทางแก้ที่ดีที่สุดคือ รัฐบาลจะต้องกำหนดให้มีรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเปลืองน้อยลง

มาร์ค คูเปอร์กล่าวว่าความมีประสิทธิภาพในการใช้น้ำมันเป็นจุดสำคัญในนโยบายด้านพลังงาน และเป็นทางเลือกทางเดียวที่จะช่วยในการลดผลกระทบภายนอกที่สำคัญทั้งสามด้านคือ ความเสียหายต่อเศรษฐกิจ อันตรายต่อความมั่นคงแห่งชาติ และอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม

คาดว่าในเดือนหน้า รัฐสภาสหรัฐจะเสนอร่างรัฐบัญญัติที่กำหนดให้เพิ่มประสิทธิภาพในการใช้น้ำมันของรถยนต์ ขณะเดียวกันคนอเมริกันกำลังไม่พอใจที่ราคาน้ำมันสูงขึ้น สมาคมยานยนต์อเมริกันรายงานว่า ราคาเฉลี่ยของน้ำมันสูงขึ้นถึงระดับประวัติกาลในวันจันทร์ ซึ่งตกแกลลอนละ 3 ดอลล่าร์ 18 เซนต์ หรือราวลิตรละ 30 บาท