ปัจจุบันเด็กอเมริกันใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่แต่ในบ้านมากขึ้น ทั้งดูโทรทัศน์ เล่นวีดีโอเกมส์และคุยกับเพื่อนทางอินเตอร์เนต ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการของเด็กหลายคนออกมากระตุ้นให้เด็กๆออกมาทำกิจกรรมนอกบ้านมากขึ้น เช่น เดินขึ้นเนิน ปีนต้นไม้ ขี่จักรยานและดูนก ผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นเชื่อว่าเด็กๆควรจะเป็นมิตรกับธรรมชาติ ซึ่งจะช่วยสร้างพัฒนาการทั้งร่างกายและจิตใจ
คุณ Darrell Hammond ผู้ร่วมก่อตั้งองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรชื่อ Kaboom ซึ่งมีเป้าหมายที่จะสร้างสนามเด็กเล่นทุกมุมเมืองในอเมริกา บอกว่าการออกมาเล่นข้างนอกบ้านจะช่วยพัฒนาเด็กทั้งทางร่างกายและจิตใจ การเล่นกลางแจ้งจะทำให้ร่างกายปล่อยสารเอ็นโดฟินออกมา ซึ่งจะกระตุ้นให้เด็กสัมผัส ได้กลิ่นและมองเห็นสรรพสิ่งรอบๆตัว
คุณ Darrell Hammond กล่าวว่าเมื่อเด็กออกมาเล่นกลางแจ้ง ไม่ว่าจะเล่นในสวนหรือในสนามเด็กเล่น เด็กจะพยายามคิดค้นเกมส์การละเล่นของตัวเองขึ้นมาเพื่อเล่นกับเพื่อนๆ เขาบอกว่าเป็นเรื่องน่าเสียดายที่เด็กทุกวันนี้ไม่ออกมาเล่นข้างนอกบ่อยเท่ากับเด็กๆเมื่อ 30 ปีที่แล้ว เนื่องจากสภาพสังคมเปลี่ยนแปลงไป ทั้งผู้ปกครองมีเวลาน้อยลง และตัวเด็กเองก็มีกิจกรรมที่ต้องทำในแต่ละวันมากเกินไป
เด็กๆมักใช้เวลาส่วนใหญ่หลังเลิกเรียนหมดไปกับกิจกรรมหนักๆ เช่น ซ้อมกีฬา หรือเรียนดนตรี เรียนศิลปะ และระหว่างปิดภาคเรียน เด็กก็มักจะเข้าร่วมในค่ายพักแรมฤดูร้อน นอกจากนี้ คุณ Richard Louv นักเขียนและผู้สนับสนุนการใช้ชีวิตกลางแจ้งบอกว่า เมื่อเด็กมีเวลาว่างก็มักจะอยู่แต่ภายในบ้าน ไม่ออกมาข้างนอก เนื่องจากสวนสาธารณะและสนามเด็กเล่น หรือแม้แต่ทางเท้านั้นอยู่ไกลเกินไป
นักเขียนผู้นี้บอกว่า แม้แต่ทางเท้าก็ยังมีผู้สัญจรไปมามากมาย นั่นก่อให้เด็กเกิดความกลัว เป็นความกลัวภัยจากคนแปลกหน้าหรือสิ่งแปลกปลอมซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในหมู่เด็กๆทั่วอเมริกา รวมทั้งแคนาดาและประเทศอื่นๆ คุณ Louv เขียนไว้ในหนังสือชื่อ Last Child In The Woods หรือ เด็กคนสุดท้ายในป่า ว่าการที่เด็กห่างเหินจากธรรมชาติมากๆจะทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า ความผิดปกติเนื่องจากความไม่คุ้นเคยกับธรรมชาติ
คุณ Richard Louv กล่าวว่าในหนังสือเรื่องนั้น เขาพยายามจะไม่ระบุว่าความผิดปกติดังกล่าวเป็นโรคอย่างหนึ่ง ซึ่งจริงๆแล้วควรจะเป็นแต่ไม่ใช่ เขาบอกว่าสิ่งนี้คือปัญหาในการเข้าสังคมของเด็ก เป็นสังคมที่เกิดขึ้นได้จากการออกมาข้างนอกและเล่นกับธรรมชาติ นักเขียนเรื่องชีวิตกลางแจ้งผู้นี้ยังบอกอีกว่า ปัญหาโรคอ้วนและความผิดปกติอื่นๆของเด็กอเมริกัน สามารถบรรเทาเบาบางลงได้ด้วยการออกมาเล่นข้างนอก ตัวอย่างเช่น งานวิจัยของมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์แสดงให้เห็นว่า เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับความสนใจบกพร่องหรือเด็กสมาธิสั้นนั้น สามารถรักษาให้ดีขึ้นได้ด้วยการให้เด็กออกมาสัมผัสกับธรรมชาติ
และมาถึงเรื่องสำคัญคือจะทำอย่างไรเด็กถึงจะยอมออกมาเล่นนอกบ้านและใกล้ชิดธรรมชาติ คุณ Richard Louv บอกว่าวิธีการนั้นต้องกระทำอย่างต่อเนื่องสอดคล้อง ในขั้นแรกสมาชิกทุกคนในบ้านต้องช่วยกันพาเด็กออกมาเล่นข้างนอก ขั้นต่อมาสถาบันและองค์กรต่างๆต้องช่วยสนับสนุนผู้ปกครอง โรงเรียนอาจจัดให้มีชั้นเรียนกลางแจ้งและศูนย์ศึกษาธรรมชาติ ต้องมีการสนับสนุนทั้งด้านการเงินและด้านกำลังใจควบคู่ไปด้วยกัน
คุณ Louv บอกว่าขณะนี้กำลังมีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้น อย่างน้อย 27 ชุมชนอเมริกันประกาศการรณรงค์และสนับสนุน บางแห่งถึงกับใช้ชื่อโครงการว่า “ไม่ทิ้งเด็กไว้ในบ้าน” นักเขียนผู้นี้ยังบอกอีกว่า ผู้พัฒนาชุมชนต่างๆควรมาเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินการครั้งนี้ ควรจะสนับสนุนให้มีการออกแบบและสร้างพื้นที่พักอาศัยที่มีสถานที่ซึ่งเด็กๆจะสามารถละเล่นกลางแจ้งได้อย่างเสรีและปลอดภัย