ชาวอเมริกันยอมอดออมใช้จ่าย แต่ทุ่มซื้อเครื่องสำอางไม่อั้น

Ulta Beauty Michigan Avenue Grand Opening

ชาวอเมริกันตระหนักถึงผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นในปัจจุบันก็จริง แต่การลดการใช้จ่ายของพวกเขาก็ไม่ได้ลดลงในทุกกลุ่มสินค้า สะท้อนจากยอดขายเครื่องสำอางตามห้างค้าปลีกในอเมริกาที่เดินหน้าเติบโตต่อเนื่องแบบไม่แคร์กระแสการประหยัดอดออมสู้เงินเฟ้อ

Karla Maldonado ก็เหมือนกับชาวอเมริกันหลายๆ คน ที่ต้องลดการจับจ่ายของใช้สอยของเธอลง เช่น ทานอาหารนอกบ้านน้อยลง และเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมให้น้อยลงเพื่อควบคุมผลกระทบของราคาน้ำมันที่สูงขึ้น

แต่นักสังคมสงเคราะห์วัย 26 ปีที่อาศัยอยู่ในเมืองพอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน ผู้นี้ยังคงแต่งแต้มดวงตาของเธอด้วยมาสคาร่า อายไลเนอร์ และอายแชโดว์ แม้ว่าจะสวมหน้ากากอนามัยอยู่ก็ตาม

Maldonado กล่าวว่าการแต่งดวงตาเป็นสิ่งที่เธอขาดไม่ได้เลย และดูเหมือนว่า Maldonado ไม่ใช่คนเดียวที่คิดแบบนั้น

ผู้ค้าปลีกรายใหญ่หลายรายต่างหั่นเป้าคาดการณ์การเติบโตของธุรกิจปีนี้ หลังจากเห็นทิศทางของบรรดานักช้อปที่เลิกซื้อสินค้าหลายรายการในไตรมาสที่ผ่านมา แต่ก็มีกลุ่มสินค้าหนึ่งที่ยังเป็นข้อยกเว้นที่เห็นได้ชัด คือ สินค้าเกี่ยวกับความสวยความงามนั่นเอง

Sephora and Kohl’s Unveil More Than 125 Prestige Beauty Brands to Debut in their New Retail Partnership this Fall

ห้างค้าปลีกต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นทาร์เก็ต โคลส์ เมซี่ส์ และนอร์ดสตรอม ต่างมียอดขายที่แข็งแกร่งของสินค้าด้านความสวยความงาม ในรายงานผลประกอบการไตรมาสที่สองของปีนี้

ทางด้านวอลมาร์ทผู้ค้าปลีกรายใหญ่ที่สุดของอเมริกา กล่าวว่า มีแรงผลักดันเพิ่มขึ้นในธุรกิจเกี่ยวกับความงาม จากยอดขายที่แข็งแกร่งในธุรกิจเครื่องสำอาง ตลอดจนเครื่องประทินผิวและเส้นผม ในขณะเดียวกันอัลตา บิวตี้ ผู้ค้าปลีกผลิตภัณฑ์เสริมความงามรายใหญ่ที่สุดในประเทศก็กล่าวว่ายอดขายโดยรวมเพิ่มขึ้นเกือบ 17% ในไตรมาสล่าสุด เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

ชาวอเมริกันที่เคยจมอยู่กับการทำงานที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่บ้านในช่วงของการระบาดใหญ่ เริ่มออกไปทำงานนอกบ้าน และต้องการที่จะดูดีที่สุดเพื่อสร้างความประทับใจแก่เพื่อนร่วมงาน หรือสำหรับผู้ที่พบเจอกันเป็นครั้งแรก ในขณะเดียวกัน หลาย ๆ คนก็ไปออกเดทและพบปะสังสรรค์ในช่วงฤดูร้อน หลังจากที่นั่งดู Netflix อยู่กับบ้านมาเป็นเวลาหลายเดือน

แต่คำอธิบายที่เป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งที่ว่าเหตุใดธุรกิจความงามจึงเฟื่องฟู ในขณะที่ผู้บริโภคมีความวิตกมากขึ้นเกี่ยวกับการจับจ่ายใช้สอยของตน คือทฤษฎีที่มีมาช้านานซึ่งเรียกว่า “lipstick index” หรือ "ดัชนีลิปสติก" ซึ่งกล่าวถึงการที่ยอดขายลิปสติกยังคงเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจตกต่ำ

กล่าวคือ เมื่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลง ชาวอเมริกันมักจะมองหาวิธีเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่จะตามใจตัวเอง เช่นการซื้อลิปสติกแท่งใหม่แทนที่จะซื้อของราคาแพง ๆ ที่ตนไม่สามารถซื้อได้อีกต่อไป

และสำหรับบางคน ลิปสติกที่ใช้อยู่อาจจะมีราคาถูกกว่าเบียร์ หรือกาแฟ Caramel Macchiato ราคา 5 ดอลลาร์จากร้านสตาร์บัคส์ ซึ่งมีรายงานรายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนสิงหาคมเช่นกัน

FILE - A customer tries a lipstick at a shop in central Seoul, South Korea, Aug. 6, 2013. Chinese sanctions against South Korea include restricting the import of South Korean cosmetics.

ในการวิเคราะห์ยอดขายของร้านค้าในแต่ละปีตามรายงานของบริษัทวิจัยตลาด IRI ระบุว่า ตอนนี้ธุรกิจเครื่องสำอางกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง โดยชาวอเมริกันซื้อเครื่องสำอางสำหรับดวงตา ใบหน้า และริมฝีปากกันมากขึ้น โดยคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 2% 5% และ 12% ตามลำดับ

Jeff Gennette ซีอีโอของเมซี่ส์ เผยถึงรายได้เมื่อปลายเดือนที่แล้วว่า บรรดาผู้บริโภคให้ความสำคัญกับส่วนลดต่าง ๆ และลดการซื้อสินค้าท่ามกลางอัตราเงินเฟ้อสูง แต่พวกเขาก็ยังสามารถซื้อผลิตภัณฑ์เสริมความงามและสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการเดินทาง เช่น กระเป๋า รองเท้า และเสื้อผ้าสำหรับสวมใส่ไปทำงานได้อยู่

ในขณะเดียวกันโคลส์ก็รายงานว่า บรรดานักช้อปเดินทางท่องเที่ยวกันน้อยลง ใช้เงินในการทำซื้อของแต่ละอย่างน้อยลง และเปลี่ยนไปซื้อสินค้าแบรนด์ที่เน้นในเรื่องประโยชน์ใช้สอย แต่ที่ร้านขายเครื่องสำอางเซอโฟรา ซึ่งเปิดตัวเมื่อปีที่แล้วในฐานะผู้ร่วมทุนกลุ่มผลิตภัณฑ์ความงาม นักช้อปต่างใช้จ่ายอย่างอิสระไปกับการซื้อผลิตภัณฑ์ดูแลผิว เครื่องสำอาง และน้ำหอม

สำหรับที่อื่น ๆ ยอดขายที่แข็งแกร่งแสดงให้เห็นว่าชาวอเมริกันทุกระดับรายได้มีส่วนร่วมในเรื่องนี้ อย่างเช่น ที่ทาร์เก็ต แผนกเครื่องสำอางมียอดขายเพิ่มขึ้น ในขณะที่สินค้าเครื่องใช้ในบ้าน เสื้อผ้า และเครื่องใช้ไฟฟ้ามียอดขายลดลงทั้งหมด ซึ่งทาร์เก็ตกล่าวว่าจะระมัดระวังมากขึ้นในการสั่งซื้อสินค้าในช่วงวันหยุดฤดูหนาว แต่จะพึ่งพาสินค้าเกี่ยวกับความสวยความงามและสินค้าจำเป็นจำพวกของชำ

ส่วนคู่แข่งอย่าง Walmart ได้เปิดตัวแผนกเครื่องสำอางระดับไฮเอนด์เมื่อเดือนมีนาคมโดยร่วมมือกับ SpaceNK ผู้ค้าปลีกในอังกฤษ ซึ่งในส่วนนี้สามารถทำยอดขายได้ดี ทั้งนี้ ร้านค้าปลีกซึ่งเน้นส่วนลดให้กับผู้บริโภคแห่งนี้ จะจัดงานอีเวนท์ด้านความสวยความงามในเดือนกันยายน ซึ่งลูกค้าสามารถหาส่วนลดได้ทั้งแบบที่ซื้อในร้านและซื้อทางออนไลน์

อย่างไรก็ตาม ยอดขายที่เพิ่มสูงขึ้นเหล่านี้ ประกอบกับราคาสินค้าที่ปรับสูงขึ้นไม่มากและปัญหาห่วงโซ่อุปทาน ทำให้อุตสาหกรรมความงามรู้สึกว่าถูกปิดกั้นจากความท้าทายในเศรษฐกิจที่ขยายกว้างขึ้น แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็อาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา

  • ที่มา: เอพี