นักวิเคราะห์ชี้ว่า การระบาดของโควิดทำให้บริษัทต่างชาติต่าง ๆ ปรับวิธีการหาชิ้นส่วนและย้ายฐานการผลิตเพื่อให้ระบบห่วงโซ่อุปทานของตนเองมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยบริษัทเหล่านี้ได้ปลีกตัวออกห่างจากจีนและขยายตัวในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และละตินอเมริกามากขึ้น
จีนได้ดึงดูดบริษัทต่างชาติให้เข้ามาตั้งโรงงานตั้งแต่ช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1980 ด้วยค่าแรงที่ถูกและผลการผลิตที่สูง ทั้งนี้ จาแยน มีนอน นักวิเคราะห์แห่งสถาบัน ISEAS ที่สิงคโปร์ กล่าวว่า บทบาทของจีนในการเป็นผู้นำโลกเรื่องโรงงานการผลิตกำลังลดลง เพราะการระบาดของโคโรนาไวรัสทำให้บริษัทต่าง ๆ ทั้งจากฝั่งอเมริกาและยุโรป เลือกที่จะหาชิ้นส่วนการผลิต แรงงาน และการประกอบสินค้าในประเทศหรือประเทศใกล้เคียงแทน
มีนอนพูดว่า “ประเทศที่ไม่สามารถควบคุมการระบาดของโคโรนาไวรัสได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น จีน กำลังเผชิญกับความยากลำบาก อีกทั้งมาตรการควบคุมโควิด-19 ให้เป็นศูนย์ของจีนนั้นยังส่งผลกระทบอย่างหนักต่อระบบห่วงโซ่อุปทานด้วย”
ตัวเลือกอื่นนอกจากจีน
ในขณะที่จีนล็อกดาวน์เมืองใหญ่ ๆ ถึงสองแห่ง ผลกระทบทางด้านการผลิต ความล่าช้าในการขนส่ง และการขาดแคลนคนงานทำเกิดปัญหาต่างมากมายต่อผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภคของประชาชนในยุโรป อเมริกาและหลายส่วน ๆ ของเอเชียด้วย ในทางกลับกันประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น เวียดนาม ไทย และอินโดนีเซียกลับผ่อนกฎการควบคุมการระบาด
ดักลาส แบร์รี่ รองประธานด้านการสื่อสารแห่งสมาคม U.S.-China Business Council อธิบายว่า บริษัทสัญชาติอเมริกันในจีนกระจายความเสี่ยงด้วยคงฐานการผลิตในจีน แต่ขยายไปที่อื่นด้วย โดยเฉพาะในขณะนี้ที่ทางการจีนยังบังคับใช้มาตรการโควิดเป็นศูนย์และการเพิ่มขึ้นของความขัดแย้งทางการเมือง
SEE ALSO: สตรีอเมริกันคว้าพวงมาลัยรถบรรทุก ลดปัญหาขาดคนขับ-ห่วงโซ่อุปทานเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
การเพิ่มขึ้นของค่าแรงในจีนก่อนโควิดบวกกับสงครามการค้าระหว่างวอชิงตันและปักกิ่งที่เพิ่มภาษีนำเข้าตั้งแต่ปี 2018 ได้ทำให้ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น เวียดนาม ไทย และมาเลเซียได้ประโยชน์จากการปรับตัวของระบบห่วงโซ่อุปทาน
ทาง มีนอน กล่าวเสริมว่า เวียดนามขึ้นแท่นเป็นผู้ได้ประโยชน์มากที่สุดเพราะคุณภาพแรงงาน นโยบายการสนับสนุนการทำธุรกิจและเครือข่ายข้อตกลงการค้าเสรี เห็นได้จากบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ใหญ่ ๆ อย่าง ซัมซุงของเกาหลีใต้และอินเทลของสหรัฐฯ ได้เข้าไปทำธุรกิจกับเวียดนาม ซ้ำเวียดนามยังมีโรงงานประกอบและผลิตรถยนต์ของแบรนด์ต่างชาติด้วย
ส่วนมาเลเซียดึงดูดบริษัทเทคโนโลยีได้มากกว่า เช่น บริษัทในเครือของผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของ Foxconn Technology ได้ลงนามในสัญญาจัดตั้งโรงงานรถยนต์ไฟฟ้ากับบริษัทมาเลเซีย Dagang NeXchange
ราจิฟ บิสวาส หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์แห่ง S&P Global Market Intelligence ระบุว่า นอกจากมาเลเซียแล้ว ไทย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ต่างดึงดูดบริษัทต่างๆ ให้เข้ามาทำธุรกิจด้วยค่าแรงงานการผลิตที่อยู่ในระดับกลาง
ทั้งนี้ บิสวาส เห็นพ้องกับมีนอนว่า แม้บริษัทต่างชาติจะขยายฐานการผลิตในประเทศอื่น ๆ แต่บริษัทเหล่านี้จะยังคงเพิ่มฐานการผลิตและตั้งโรงงานในจีนต่อไป เพราะตลาดจีนมีลูกค้าหลายพันล้านคน เหตุนี้เป็นเพราะช่วงโควิดทำให้ผู้ผลิตเห็นถึงความสำคัญในการกระจายความเสี่ยงและการสร้างความแข็งแกร่งของระบบห่วงโซ่อุปทาน โดยเฉพาะการตั้งโรงงานในพื้นที่ต่าง ๆ รวมทั้งนอกทวีปเอเชีย เพื่อลดผลกระทบนั่นเอง
ละตินอเมริกา
ทางด้านแถบละตินอเมริกา โดยเฉพาะประเทศที่มีอุตสาหกรรมการผลิตขนาดใหญ่ เช่น เม็กซิโก ที่ดึงดูดนักลงทุนอเมริกันมาตั้งแต่คริสต์ทศวรรษที่ 1990 และยังคงมีความได้เปรียบด้านการค้าการลงทุนในหลายมิติ
อีแวน เอลิส อาจารย์แห่ง US Army War College Strategic Studies Institute ชี้ว่า เม็กซิโกจะได้รับประโยชน์จากกระแส near-shoring หรือ การซื้อสินค้าหรือพึ่งพาฐานการผลิตจากประเทศใกล้เคียง เพราะเม็กซิโกนั้นมีพรมแดนติดกับสหรัฐฯ ยังใช้เวลาโซนเดียวกัน อีกทั้งกำลังแรงงานมีการศึกษาระดับหนึ่งด้วย จึงให้บริษัทของทั้งสองชาติค้าขายสะดวก อย่างไรก็ดี ปัญหาอาชญากรรมและค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าที่สูงยังถือเป็นอุปสรรคอยู่
ด้าน แบร์รี่ รองประธานด้านการสื่อสารแห่งสมาคม U.S.-China Business Council เสริมว่า เม็กซิโกจะดึงดูดการลงทุนเพิ่มเติมได้ เพราะสินค้าที่ผลิตจากที่นั่นจะเข้ามาจำหน่ายในสหรัฐฯ ด้วยสิทธิประโยชน์จากข้อตกลงการค้าเสรีกับสหรัฐฯ ด้วยเช่นกัน
ส่วนอีกชาติหนึ่งในแถบละตินอเมริกาที่ได้รับความสนใจ คือ บราซิล เนื่องจากมีทรัพยากรทางธรรมชาติที่สมบูรณ์ เช่น สินแร่และน้ำมันปิโตรเลียม อีกทั้งบราซิลยังเป็นตลาดผู้บริโภคที่ใหญ่ จึงทำให้หลายๆ บริษัทเข้ามาทำธุรกิจและตีตลาดขายสินค้าให้แก่ประชากรชาวบราซิลราว 212 ล้านคนด้วย
- ที่มา: วีโอเอ