คนสูงวัยในสหรัฐฯ รู้สึกพร้อมที่จะใช้ชีวิตอยู่บ้านมากกว่าคนอายุก่อนเกษียณ

Retirement Home-Dorm Room

โพลล์จากสำนักวิจัย NORC Center for Public Affairs Research ที่ร่วมกับสำนักข่าวเอพี พบว่า ผู้สูงอายุที่มีความชราขึ้นมักแสดงความกังวลและบ่นถึงเรื่องการแก่ตัวน้อยลงเมื่อพวกเขาพักอาศัยอยู่ในบ้านหรือชุมชนของตนเอง

การศึกษาข้างต้นยังสะท้อนเพิ่มเติมด้วยว่า ชาวอเมริกันอายุ 65 ปีขึ้นไปถึง 80% มีความพร้อมสูงที่จะใช้ชีวิตในช่วงปั้นปลายในบ้านของตนเองซึ่งนับว่ามากกว่าคนที่มีอายุระหว่าง 50-64 ที่บอกว่ามีความรู้สึกเช่นนั้นเพียง 60% เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม คนในกลุ่มหลังเองซึ่งยังอยู่ในวัยที่ต้องทำงานก่อนที่จะสามารถเข้าสู่วัยเกษียณถึง 88% ต่างระบุในโพลล์ว่า พวกเขามีความหวังที่จะแก่ตัวในบ้านของตนเองเช่นกัน แต่เหตุผลหลักที่ฉุดพวกเขาไม่ให้บรรลุความต้องการข้างต้นได้มาจากสถานะทางการเงินที่ยังไม่เอื้ออำนวย พวกเขาจึงไม่มั่นใจว่า จะแก่ตัวลงในชุมชนของตนเองได้ และจะได้รับการดูแลทางสุขภาพที่ดีและความช่วยเหลือจากครอบครัวหรือไม่

สำนักข่าวเอพีเจาะลึกลงไปถึงต้นตอของปรากฏการณ์ข้างต้นและชี้ว่า ความกลัวสิ่งที่ไม่แน่นอนในอนาคตเหล่านี้ ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากกลุ่มคนที่หาเช้ากินค่ำ และความกลัวอีกประเภทสำหรับคนที่อายุใกล้ 60 นั้นมาจากการที่พวกเขาไม่แน่ใจว่าจะได้รับเบี้ยจากเงินประกันสังคม (Social Security) และการคุ้มครองจากโครงการประกันสุขภาพของรัฐบาล (Medicare) เมื่อพวกเขาเกษียณและจำต้องใช้สวัสดิการเหล่านี้จริงๆ

สเตซีย์ วิกกินส์ นางพยาบาลที่อาศัยอยู่ใกล้เมืองดีทรอยต์ เห็นด้วยและบอกกับเอพีว่า เธอคาดว่า จะทำงานไปอีกสิบให้ถึงช่วงอายุ 60 ปลายๆและจากนั้นก็อาจจะทำงานพาร์ทไทม์ไป เพราะเธอกังวลว่า สิทธิ์ต่าง ๆ สวัสดิการจากรัฐอาจจะไม่มีจริงหรือสามารถใช้ได้จริงในอนาคต

ทางด้าน ซาร่า ซานตัน คณบดีแห่งคณะพยาบาลศาสตร์แห่ง Johns Hopkins University กล่าวว่า คนวัย 50 ปลายๆถึง 60 ต้นๆ อาจกำลังเผชิญกับผลกระทบระยะยาวของวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี 2007-09 ที่มีคนว่างงานสูงถึง 10% และจากการที่บ้านของบางคนถูกสถาบันการเงินยึด ประกอบกับสังคมอเมริกันนั้นไม่ได้ช่วยเตรียมความพร้อมให้คนที่มีอายุมากเข้าสู่วัยเกษียณได้อย่างสะดวกสบาย

โพลล์จากสถาบันวิจัย NORC Center ระบุด้วยว่า คนอายุ 50 ปีขึ้นไปบอกว่าชุมชนของพวกเขาไม่สามารถรองรับความต้องการขั้นพื้นฐานได้อย่างทั่วถึงและเสมอภาค ยกตัวอย่างว่า แม้การเข้าถึงบริการสาธารณสุข อาหารที่มีประโยชน์ และอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง จะได้รับความสำคัญสูง แต่คนในช่วงอายุดังกล่าวเพียง 36% เท่านั้นที่แสดงความพอใจกับราคาของที่พักอยู่อาศัยในชุมชนของพวกเขา และ 44% พอใจกับการเข้าถึงระบบและบริการทางด้านขนส่งมวลชนที่คำนึงถึงผู้สูงอายุที่อยู่ติดบ้าน

ทางด้าน คิม แฮร์เรลสัน-แพตติแชล ผู้ประกอบธุรกิจตัวแทนอสังหาริมทรัพย์วัย 50 ต้นๆที่ต้องการแก่ตัวและใช้ชีวิตในช่วงบั้นปลายที่ชุมชนของเธอในรัฐนอร์ทแคโรไลนา บอกกับเอพีว่า เธอหวังว่า การที่คนเกษียณย้ายเข้ามาอยู่ในชุมชนของเธอมากขึ้นนั้นจะช่วยส่งเสริมให้มีสถานพยาบาลและบริการต่างๆของผู้สูงอายุมากขึ้นตามไปด้วย

ความรู้สึกมั่นใจที่คิมจะเกษียณในชุมชนของเธอเองไม่สูงนักเพราะ ในปัจจุบัน เธอกล่าวว่าจะต้องขับรถถึงเกือบหนึ่งชั่วโมงเพื่อไปถึงโรงพยาบาล ซึ่งลำบากหากมีเหตุการณ์ฉุกเฉินทางการแพทย์ เธอเสริมด้วยว่า การทำเช่นนั้นจะสิ้นเปลืองเงินเก็บที่เธอตั้งใจเก็บสะสมมา

อย่างไรก็ตาม เชอร์รี่ เฮย์เดน ที่มีอายุมากกว่าคิมประมาณ 20 ปีแต่ก็อาศัยอยู่ในเมืองเล็กๆเช่นกันนั้น แย้งว่า เธอไม่ได้มีการลงทุนอะไรไว้และมีเงินเก็บเพียงเล็กน้อย แต่เธอประเมินว่า เธอพร้อมมากที่จะใช้ชีวิตในช่วงบั้นปลายต่อไปเรื่อยๆในที่ที่คุ้นเคย

เชอร์รี่อธิบายว่า “เราจะต้องชีวิตให้อยู่ระดับที่สอดคล้องสถานะทางการเงิน และไม่ซื้อของที่เราไม่มีเงินพอที่จะจ่ายมัน สิ่งเดียวที่ฉันต้องพยายามแก้ปัญหามากกว่าอย่างอื่นคือค่าใช้จ่ายที่มากับประกันสุขภาพ”

การรับมือกับปัญหาอีกอย่างที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ คือ ความเหลื่อมล้ำที่ชัดเจนในเรื่องฐานะทางการเงินซึ่งครอบครัวของชาวอเมริกันผิวดำและเชื้อสายละตินมีความร่ำรวยเพียงแค่ประมาณ 1 ใน 5 ของครอบครัวอเมริกันผิวขาว ตามรายงานของธนาคารกลางแห่งสหรัฐฯ เมื่อ 3 ปีก่อน

ข้อมูลข้างต้นสอดคล้องกับผลสำรวจของ NORC Center ที่ระบุว่า 67% ของคนผิวดำและ 59% ของชาวละตินอเมริกันที่มีอายุ 50 ปีขึ้นได้แสดงความพร้อมอย่างมากที่จะแก่ตัวในบ้านของตนเอง แต่ยอดดังกลับดูน้อยลงทันทีเมื่อเทียบกับคนผิวขาวถึง 73% ที่ระบุว่าพวกเขาพร้อมเช่นกัน

  • ที่มา: เอพี