พบหลักฐานอดีตที่ปรึกษาความมั่นคงของ 'ทรัมป์' รับเงินจาก 'รัสเซีย'

National Security Adviser Michael Flynn speaks during the daily news briefing at the White House, in Washington, Feb. 1, 2017.

พบเอกสารระบุรายได้ของ พลโท ไมเคิล ฟลินน์ อดีตที่ปรึกษาความมั่นคงของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งยื่นลาออกจากตำแหน่งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ว่าได้รับเงินจากกลุ่มผลประโยชน์ในรัสเซียเมื่อปี พ.ศ.2558 เกือบ 68,000 ดอลลาร์ หรือราว 2.3 ล้านบาท

ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าวมีจำนวนมากกว่าที่เคยเป็นข่าวก่อนหน้านี้

รายได้ส่วนใหญ่ที่ พล.ท.ฟลินน์ ได้รับ มาจากสถานีโทรทัศน์ RT ที่รัฐบาลเครมลินเป็นผู้สนับสนุนด้านการเงิน ราว 45,386 ดอลลาร์ ซึ่งระบุว่าเป็นค่าเดินทางเพื่อช่วยประชาสัมพันธ์สถานีโทรทัศน์ของรัสเซีย ในงานเลี้ยงอาหารค่ำในวาระครบรอบ 10 ของสถานีโทรทัศน์รัสเซีย ที่เขาได้นั่งโต๊ะร่วมกับ นายวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีของรัสเซีย อย่างใกล้ชิดอีกด้วย

FILE - Russian President Vladimir Putin (R) sits next to retired U.S. Army Lieutenant General Michael Flynn (L) as they attend an exhibition marking the 10th anniversary of RT (Russia Today) television news channel in Moscow, Russia, Dec.10, 2015.

นอกจากนี้ พล.ท.ฟลินน์ ยังได้รับเงินอีกราว 11,250 ดอลลาร์จากบริษัทรักษาความปลอดภัยด้านอินเทอร์เน็ตของรัสเซีย และจากสายการบิน Volga-Dnepr ของรัสเซีย

รายงานในเอกสารยังระบุด้วยว่า พล.ท.ฟลินน์ ในวัย 58 ปี ยังมีรายรับจากกลุ่มผลประโยชน์ในประเทศตุรกี ราวๆ 530,000 ดอลลาร์เมื่อปีที่ผ่านมา เพื่อให้ทำงานล็อบบี้ให้กับตุรกี ในระหว่างที่เขาทำงานเป็นที่ปรึกษาของนายโดนัลด์ ทรัมป์ มหาเศรษฐีด้านอสังหาริมทรัพย์ ในช่วงการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ

นอกจากนี้ หลังจากที่ พล.ท.ฟลินน์ ลาออกจากการเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคงที่แต่งตั้งโดยนายโดนัลด์ ทรัมป์ แล้ว ยังพบการขอจดทะเบียนเป็นตัวแทนของตุรกี เมื่อช่วงต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

Russia's ambassador to the U.S. Sergey Kislyak, speaks with reporters in Washington, Jan. 13, 2017.

ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แต่งตั้ง พล.ท.ไมเคิล ฟลินน์ เป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคงฯ ก่อนที่เขาจะเข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ แต่ที่ปรึกษารายนี้กลับดำรงตำแหน่งได้เพียง 24 วัน ก่อนที่จะถูกกดดันให้ลาออก

ซึ่งรัฐบาลทรัมป์ระบุว่าไม่ได้เป็นเพราะความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับรัสเซียหรือตุรกี แต่สาเหตุหลักมาจากเขาทำความผิดต่อรองประธานาธิบดี ไมค์ เพนซ์ โดยไม่บอกความจริงว่า เคยมีการประชุมหารือกับเอกอัครราชทูตรัสเซียประจำสหรัฐฯ มาก่อน