ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขของสหรัฐฯ แสดงความเห็นในวันอาทิตย์ว่า คนอเมริกันหลายล้านคนซึ่งได้รับวัคซีนโควิดครบโดสแล้ว จำเป็นต้องได้รับวัคซีนบูสเตอร์เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันเมื่อเวลาผ่านไป
เมื่อวันศุกร์ คณะกรรมการด้านสาธารณสุขของสหรัฐฯ ปฏิเสธการรับรองวัคซีนบูสเตอร์ของบริษัทไฟเซอร์ (Pfizer) สำหรับคนอเมริกันทุกคน แต่แนะนำให้ใช้กับกลุ่มผู้ที่มีอายุเกิน 65 ปีขึ้นไป หรือผู้มีความเสี่ยงด้านสุขภาพ
นอกจากนี้ยังชะลอการตัดสินใจเรื่องวัคซีนบูสเตอร์ของบริษัทโมเดอร์นา (Moderna) และ จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน (Johnson&Johnson) ออกไปก่อน
นายแพทย์แอนโธนี เฟาชี หัวหน้าคณะที่ปรึกษาด้านการแพทย์ของประธานาธิบดีโจ ไบเดน กล่าวกับรายการ “Meet the Press” ของสถานีเอ็นบีซีว่า การตัดสินใจของสำนักงานอาหารและยาสหรัฐฯ เรื่องการฉีดวัคซีนเข็มที่สามของบริษัทไฟเซอร์และโมเดอร์นา จะมีขึ้นในอีกไม่กี่สัปดาห์จากนี้
ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ หรือ CDC ระบุว่า ปัจจุบันมีคนอเมริกันราว 181 ล้านคนที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว ในขณะที่มีประชาชนอายุมากกว่า 12 ปีอีกราว 70 ล้านคนที่ยังไม่ได้ฉีด ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุผลด้านการต่อต้านวัคซีน ไม่มั่นใจในวัคซีน เชื่อว่าจะไม่ติดโควิด หรือเหตุผลอื่น ๆ ก็ตาม
CDC เผยว่า ตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคม มีคนอเมริกันมากกว่า 2 ล้านคนที่เข้ารับการฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้น ซึ่งเชื่อว่าเป็นผลพวงจากการรณรงค์ของภาครัฐและเอกชน ตลอดจนความมั่นใจที่เพิ่มขึ้นว่าวัคซีนไม่ได้ทำให้เกิดอาการป่วยหรือผลข้างเคียงรุนแรงอย่างที่เชื่อกัน
ก่อนหน้านี้ ปธน.ไบเดนมีคำสั่งให้ภาคธุรกิจต่าง ๆ ที่มีพนักงานมากกว่า 100 คนต้องบังคับให้ลูกจ้างฉีดวัคซีนโควิดหรือต้องเข้ารับการตรวจหาเชื้อทุกสัปดาห์ รวมทั้งบังคับให้ลูกจ้างของรัฐบาลอเมริกันราว 2.5 ล้านคนต้องฉีดวัคซีนด้วย
โดย น.พ.เฟาชี บอกกับเอ็นบีซีว่า กำลังมีการพิจารณามาตรการบังคับให้ผู้เดินทางทางเครื่องบินต้องฉีดวัคซีนโควิดด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม สมาชิกพรรครีพับลิกันบางคน รวมทั้ง ผู้ว่าการรัฐมิสซิสซิปปี เทท รีฟส์ กล่าวกับซีเอ็นเอ็นว่า ตนจะยื่นฟ้องประธานาธิบดีไบเดน เมื่อคำสั่งบังคับให้ลูกจ้างภาครัฐและเอกชนฉีดวัคซีนมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ
ผู้ว่าฯ รีฟส์ กล่าวว่า ตนเชื่อในความรับผิดชอบส่วนบุคคล และขอให้ประชาชนในรัฐมิสซิสซิปปีปรึกษากับแพทย์ประจำตัวก่อนตัดสินใจว่าจะฉีดวัคซีนโควิดหรือไม่
ปัจจุบัน รัฐมิสซิสซิปปีคือหนึ่งในรัฐที่มีอัตราการเสียชีวิตจากโควิด-19 ต่อจำนวนประชากรสูงที่สุดในสหรัฐฯ ซึ่งหากเป็นประเทศ มิสซิสซิปปีจะเป็นประเทศที่มีอัตราการเสียชีวิตสูงสุดเป็นอันดับสองของโลก รองจากเปรู