สมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ เรียกร้องให้ผู้พัฒนาแอพพลิเคชั่นระบบวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ ซูม (Zoom) อธิบายหลักการดำเนินธุรกิจและความสัมพันธ์ของบริษัทกับรัฐบาลจีน หลังทำการระงับบัญชีผู้ใช้งานตามคำร้องขอจากกรุงปักกิ่ง
Zoom Video Communications Inc ซึ่งตั้งอยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย กลายมาเป็นเป้าถูกโจมตีทันที หลังนักเคลื่อนไหวกลุ่มหนึ่งซึ่งมีสมาชิกทั้งในสหรัฐฯ และฮ่องกงเปิดเผยว่า บัญชีใช้งาน Zoom ของสมาชิกกลุ่มถูกระงับก่อนที่จะจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อรำลึกวันครบรอบการปราบปราบประชาชนที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน
หวาง ตัน ชาวจีนที่ลี้ภัยมาอยู่ที่สหรัฐฯ และเป็นผู้นักศึกษาในการชุมนุมที่จัตุรัสเทียนอันเหมินเมื่อปี ค.ศ. 1989 กล่าวว่า เขาเองรู้สึกช็อคที่บัญชี Zoom ถูกระงับในระหว่างการจัดกิจกรรมร่วมกับผู้เข้าร่วมราว 200 คนเมื่อวันที่ 3 มิถุนายนที่ผ่าน
Zoom ออกแถลงการณ์ในวันศุกร์ตามเวลาในสหรัฐฯ ซึ่งระบุว่า ทางบริษัทได้รับการแจ้งจากรัฐบาลจีนเกี่ยวกับกิจกรรมที่ทางกลุ่มนักเคลื่อนไหววางแผนตั้งแต่ช่วงเดือนพฤษภาคมจนถึงเมื่อต้นเดือนมิถุนายน และได้รับการร้องขอให้จัดการกับเรื่องนี้ด้วย แต่ล่าสุด ได้ยกเลิกคำสั่งระงับบัญชีใช้งานดังกล่าวแล้ว และจะไม่ยอมรับคำรองขอใดๆ จากจีนหากเป็นกรณีของผู้ใช้งานนอกประเทศจีนอีกต่อไป
นอกจากนั้น ทางบริษัทกล่าวว่า ขณะนี้ทีมงานกำลังพัฒนาเทคโนโลยีใหม่เพื่อไม่ให้ผู้ใช้งานในบางประเทศเข้าร่วมกิจกรรมบางอย่าง ตามคำขอของรัฐบาลประเทศต่างๆ และมีแผนจะประกาศนโยบายสำหรับผู้ใช้งานทั่วโลกฉบับใหม่ในวันที่ 30 มิถุนายนนี้
แถลงการณ์ของ Zoom ยังยืนยันด้วยว่า ทางบริษัทไม่ได้นำส่งข้อมูลผู้ใช้งานหรือการประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ใดๆ ให้กับรัฐบาลจีนด้วย
คำยืนยันดังกล่าวมีออกมาหลัง เกร็ก วอลเดน และ แคธี่ แม็คมอร์ริส รอดเจอร์ส สมาชิกสภาผู้แทนราษฏรจากพรรครีพับลิกัน ร่วมกันส่งจดหมายถึง เอริค หยวน ซีอีโอของ Zoom เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา เพื่อขอคำอธิบายเกี่ยวกับหลักการเก็บรวบรวมข้อมูลของบริษัท รวมทั้งตอบคำถามที่ว่า บริษัทได้ส่งมอบข้อมูลของผู้ใช้งานกับรัฐบาลกรุงปักกิ่งบ้างหรือไม่
ขณะเดียวกัน จอช ฮอว์ลีย์ วุฒิสมาชิกจากพรรครีพับลิกัน ได้ส่งจดหมายถึง หยวน เช่นกัน เพื่อเรียกร้องให้ผู้บริหาร Zoom “เลือกข้าง” ระหว่างสหรัฐฯ และจีน
ก่อนหน้านี้ สมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ ทั้ง 3 รายเคยแสดงความกังวลเกี่ยวกับแอพพลิเคชั่น TikTok ของบริษัท ByteDance ซึ่งเป็นผู้ประกอบการสัญชาติจีน และถูกหน่วยงานดูแลกำกับกิจการในสหรัฐฯ ตรวจสอบเกี่ยวกับการดูแลจัดการข้อมูลส่วนบุคคลไปแล้ว