การเช่าอพาร์ทเมนต์นั้นอาจเป็นเรื่องท้าทายสำหรับผู้ที่เพิ่งจบมหาวิทยาลัยที่กำลังเผชิญกับปัญหาตลาดการเช่าบ้านในสหรัฐฯ ที่ร้อนแรงที่สุดในรอบทศวรรษ ควบคู่ไปกับการแข่งขันที่คาดไม่ถึงจากกลุ่มคนรุ่นมิลเลนเนียล หรือผู้ที่มีอายุ 24-40 ปี หรือแม้แต่กลุ่มคนยุคเบบี้บูมเมอร์ หรือผู้ที่มีอายุมากกว่า 57 ปี
Doug Ressler ผู้จัดการฝ่ายธุรกิจที่ Yardi-Matrix บริษัทข้อมูลอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์และการวิจัย กล่าวว่า ชาวมิลเลนเนียลคือกลุ่มคนที่กำลังสร้างครอบครัวที่ควรเปลี่ยนจากสถานะจากการเช่าบ้านไปเป็นเจ้าของบ้าน แต่เนื่องจากปัญหาการขาดแคลนอสังหาริมทรัพย์ เรื่องนี้จึงต้องหยุดชะงักไป และสิ่งที่พบเห็นกันอยู่ก็คือชาวมิลเลนเนียลก็ยังคงเช่าบ้านกันอยู่ต่อไป
เขากล่าวต่อไปว่า ไม่ใช่เฉพาะชาวมิลเลนเนียล และคน Gen Z หรือผู้ที่อายุต่ำกว่า 24 ปีเท่านั้น แต่จะเห็นได้ว่ามีความเปลี่ยนแปลงในคนยุคเบบี้บูมเมอร์ด้วย ซึ่งอัตราการย้ายไปอยู่บ้านเช่าเติบโตขึ้นในช่วงห้าปีที่ผ่านมา และว่ามีเหตุผลมากมายหลายประการสำหรับเรื่องนี้ อย่างเช่นการที่คนเหล่านี้อาศัยอยู่ในบ้านมานานและต้องการลดรายจ่ายจากรายได้ที่ตายตัว หรืออาจต้องการไปอยู่ในสังคมแบบอยู่ร่วมกัน เช่น ชุมชนคนเกษียณอายุ ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะเหมาะกับตนมากกว่า
ทั้งนี้ ราคาสำหรับการเช่าอพาร์ทเมนท์เพิ่มขึ้น 10.7% ในเดือนกันยายนปี 2021 เมื่อเทียบกับปีที่แล้วในเวลาเดียวกัน ตามข้อมูลของสมาคม National Association of Realtors (NAR)
Gay Cororaton นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของ NAR ซึ่งเป็นผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยที่อยู่อาศัยและการค้า กล่าวว่า ตลาดบ้านเช่าร้อนแรงในทศวรรษที่ผ่านมาแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน อัตราการเติบโตของการเช่าบ้านโดยเฉลี่ยเมื่อเทียบปีต่อปีอยู่ที่ประมาณ 3-5 เปอร์เซ็นต์ และอัตราการเติบโตของการเช่าบ้านอยู่ที่ 11% ในขณะนี้ ซึ่งมากกว่าที่เคยเป็นมาในอดีต
บรรดาผู้เช่าต่างรู้สึกกดดันเนื่องจากการระบาดของโควิด-19 ทำให้เกิดปัญหาห่วงโซ่อุปทาน ส่งผลให้การสร้างบ้านในสหรัฐฯ ล่าช้าลง การที่ทรัพยากรบ้านลดลงนั่นหมายความว่าคนรุ่นมิลเลนเนียลซื้อบ้านเดี่ยวได้ยากขึ้น
Cororaton กล่าวอีกว่า อุตสาหกรรมการก่อสร้างทั้งหมดถูกรุมเร้าด้วยปัญหาห่วงโซ่อุปทาน เมื่อการขนส่งต่าง ๆ ไม่สามารถทำได้ ราคาไม้แปรรูปก็สูงขึ้น การผลิตชะลอตัวลง คนงานไม่สามารถเข้ามา ทำงานได้ เมื่อทุกอย่างขาดแคลน บ้านจึงไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้คน
นอกจากนี้อุปทานที่อยู่อาศัยยิ่งตึงตัวมากขึ้นในช่วงของการระบาดใหญ่ เนื่องจากนักลงทุนนำเงินไปลงทุนในที่อยู่อาศัยมากขึ้น ในขณะที่คนที่มีบ้านอยู่แล้วก็มองหาบ้านหลังที่สอง
ในช่วงที่เกิดโรคระบาดนี้ ความต้องการบ้านหลังที่สองเพื่อทำเป็นบ้านพักตากอากาศเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยทั่วไปแล้ว บ้านพักตากอากาศมีสัดส่วนเพียง 5 เปอร์เซ็นต์ แต่ในช่วงต้นฤดูร้อนนี้อัตราดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 8 เปอร์เซ็นต์ ความต้องการมากมายที่ไม่สมดุลปริมาณบ้านที่มีอยู่ในตลาดทำให้ราคาบ้านสูงขึ้น จนผู้คนไม่สามารถซื้อบ้านได้
รายงานของ NAR ระบุว่า ตลาดบ้านเช่าที่ร้อนแรงที่สุดในขณะนี้อยู่ทางฝั่งตะวันตกและทางใต้ ผู้เช่าจำนวนมากพากันย้ายไปที่เมืองดัลลัสและนครฮิวสตัน รัฐเท็กซัส ตามด้วยเมืองแอตแลนต้า รัฐจอร์เจีย นครนิวยอร์ก นครลอสแองเจลิส เมืองออสติน รัฐเท็กซัส เมืองฟีนิกซ์ รัฐแอริโซนา และกรุงวอชิงตัน
Cororaton นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของ NAR คาดว่า สถานการณ์จะดีขึ้นเล็กน้อยในปีหน้า แต่ปัญหาการขาดแคลนที่อยู่อาศัยมีแนวโน้มที่จะดำเนินต่อไปในอีกสองสามปีข้างหน้า