ลิ้งค์เชื่อมต่อ

หนุ่มสาวอเมริกันมีแนวโน้ม 'ไม่ดื่มแอลกอฮอล์' มากขึ้น


People gather at the North Shore Tavern in Pittsburgh, June 28, 2020.
People gather at the North Shore Tavern in Pittsburgh, June 28, 2020.
Teen and Alcohol Abuse
please wait

No media source currently available

0:00 0:04:07 0:00


ชาวอเมริกันหนุ่มสาวในวัยเรียนมหาวิทยาลัยเลือกที่จะไม่ดื่มแอลกอฮอล์มากกว่าเมื่อเกือบสองทศวรรษที่ผ่านมา คนกลุ่มนี้ถูกเรียกว่า Generation Dry

ในช่วงระหว่างปีพ.ศ. 2545-2561 จำนวนคนหนุ่มสาววัยอุดมศึกษาอายุ 18 ถึง 22 ปีในสหรัฐฯ ที่งดดื่มแอลกอฮอล์มีจำนวนเพิ่มขึ้นจาก 20% เป็น 28% ส่วนผู้ที่ไม่ได้เรียนหนังสืองดดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้นจาก 24% เมื่อปีพ.ศ. 2545 เป็น 30% ทั้งนี้การดื่มสุรามากเกินไปในทั้งสองกลุ่มลดลงราวครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว

Esteban McCabe ผู้อำนวยการศูนย์การศึกษาเรื่องยาเสพติด แอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ และสุขภาพของภาควิชา School of Nursing แห่งมหาวิทยาลัยมิชิแกน และเป็นหัวหน้าการศึกษานี้ที่ตีพิมพ์ในวารสาร JAMA Pediatrics ฉบับเมื่อเร็วๆ นี้กล่าวว่าการที่คนหนุ่มสาวทั้งที่เรียนและไม่ได้เรียนในมหาวิทยาลัยดื่มเครื่องดื่มมึนเมากันลดลงอย่างมีนัยสำคัญนั้น เป็นสิ่งที่สร้างกำลังใจให้แก่พวกเขา

ในขณะที่การศึกษานี้ไม่ได้พิจารณาถึงสาเหตุของอัตราที่ลดลงดังกล่าว แต่นักวิจัยชี้ว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นอาจเกิดจากการที่คนหนุ่มสาวอาศัยอยู่กับพ่อแม่กันเพิ่มมากขึ้น เช่นเดียวกับการมีกฎห้ามดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงความพยายามที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่างๆ ของบรรดานักศึกษาด้วย

อย่างไรก็ดี ไม่ใช่เพียงแค่คนหนุ่มสาวชาวอเมริกันเท่านั้นที่ดื่มน้อยลง พฤติกรรมเสี่ยงๆ เช่นการดื่มสุรามากเกินไปในประเทศอังกฤษก็ลดน้อยลงกว่าที่เคยเป็นมาด้วยเช่นเดียวกัน

เมื่อเร็วๆ นี้นักวิจัยพบว่าคนหนุ่มสาวอายุ 16 ถึง 24 ปีในประเทศอังกฤษที่ไม่ดื่มแอลกอฮอล์มีอัตราส่วน 29% ในปีพ.ศ. 2558 คือเพิ่มขึ้นจาก 18% ในปีพ.ศ. 2548 ในขณะที่อัตราการดื่มสุราที่มากเกินไป ซึ่งหมายถึงการดื่มเป็นสองเท่าของขีดจำกัดรายวันตามข้อแนะนำ ลดลงจาก 27% เป็น 18%

อย่างไรก็ตามแนวโน้มที่น่าตกใจที่สุดที่การศึกษาระบุไว้คือ มีคนหนุ่มสาวจำนวนมากขึ้นที่ใช้สารต่างๆ หลายชนิดร่วมกันในทางที่ผิด แทนที่จะใช้กัญชาหรือแอลกอฮอล์เพียงอย่างเดียว

Ty Schepis ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัย Texas State University ซึ่งเป็นผู้ร่วมเขียนรายงานการศึกษานี้กล่าวว่า ประเด็นที่น่าเป็นห่วงที่ควรได้รับความสนใจมากขึ้นคือ มีการใช้แอลกอฮอล์และกัญชาร่วมกันเพิ่มมากขึ้น เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าการใช้สารเสพติดหลายชนิดนั้นอาจส่งผลเสียมากกว่ารวมถึงรักษาได้ยากขึ้น ยกตัวอย่างเช่นตั้งแต่ปีพ.ศ. 2558-2561 วัยรุ่นที่งดเว้นทั้งแอลกอฮอล์และกัญชารายงานว่า ตนใช้ยาตามใบสั่งแพทย์ในทางที่ผิดอยู่เพียง 2.5% ในขณะที่ผู้ที่ใช้กัญชาร่วมกับแอลกอฮอล์ ใช้ยาตามใบสั่งแพทย์ในทางที่ผิดอยู่ถึง 25.1% ความแตกต่างดังกล่าวมีมากถึงสิบเท่า ซึ่งอาจทำให้เกิดผลร้ายตามมาได้

นอกจากนี้การศึกษายังพบว่ามีการใช้กัญชาเพิ่มขึ้นจาก 27% เป็น 31% ในหมู่นักศึกษาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2545-2561 และจาก 26% เป็น 30% ในหมู่วัยรุ่นที่ไม่ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย แต่นักวิจัยไม่พบว่ามีการใช้กัญชามากขึ้นจนถึงขั้นเป็นปัญหา
การศึกษาแนะให้ผู้กำหนดนโยบายของสหรัฐฯ หาวิธีรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมการใช้สารเสพติด โดยให้การสนับสนุนวัยรุ่นที่งดเว้นสารเหล่านี้ที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็สร้างมาตรการการช่วยเหลือเพื่อรับมือกับปัญหาการใช้กัญชาและการใช้แอลกอฮอล์ร่วมกับกัญชาที่เพิ่มมากขึ้น

การศึกษานี้ได้ตรวจสอบข้อมูลที่รวบรวมในแต่ละปี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการสำรวจระดับชาติเกี่ยวกับการใช้ยาและสุขภาพ โดยกลุ่มตัวอย่างประกอบไปด้วยวัยรุ่นอายุอายุ 18 ถึง 22 ปีจำนวน 182,722 คน

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจาก CDC ระบุว่าแม้ว่าการดื่มสุราในกลุ่มคนที่มีอายุต่ำกว่า 21 ปีนั้นจะเป็นสิ่งผิดกฎหมายในสหรัฐฯ แต่ก็มีคนอายุ 12 ถึง 20 ปีที่ดื่มแอลกอฮอล์ราว 11% ของการบริโภคแอลกอฮอล์ทั้งหมดในสหรัฐฯ

XS
SM
MD
LG