เนื่องในโอกาสวันผู้ลี้ภัยโลกซึ่งตรงกับวันที่ 20 มิถุนายนของทุกปี สำนักข่าววีโอเอได้ทำการสัมภาษณ์นักบัญชีชาวอัฟกันที่เคยทำงานร่วมกับสหรัฐฯ ถึงประสบการณ์การหนีเอาตัวรอดของเขาและครอบครัวจากกลุ่มตาลิบันที่เข้ายึดประเทศบ้านเกิดเมื่อปีที่ผ่านมาจนถึงการสร้างชีวิตใหม่ที่เมืองซานดิเอโก
ย้อนกลับไปในอดีตเมื่อปีที่ผ่านมา อาบู บาเกอร์ ซามูน ไม่ได้มีการวางแผนที่จะเดินทางออกจากอัฟกานิสถาน ประเทศบ้านเกิดของเขาเลย ซ้ำในช่วงเวลานั้น เขายังเปี่ยมไปด้วยความหวังว่า จะเกิดการจัดตั้งรัฐบาลผสม หลังจากที่กองทัพสหรัฐฯ ถอนกำลังพลออกจากประเทศไปแล้ว
ซามูน บอกกับ วีโอเอ ว่า ในเวลานั้น ตัวเขาและทุกคนในอัฟกานิสถานยังมีความหวังว่า ทุกอย่างจะดีขึ้น และว่า จะมีการลงนามสนธิสัญญาสันติภาพ ขณะที่ รัฐบาลอัฟกันในเวลานั้นและผู้นำกลุ่มตาลิบันจะตกลงกันได้ โดยทุกอย่างก็น่าจะดีขึ้นเรื่อย ๆ
แต่ในความเป็นจริง สถานการณ์กลับแย่ลง หลังกลุ่มตาลิบันเข้าเดินหน้าเข้ายึดกรุงคาบูลซึ่งเป็นเมืองหลวงของอัฟกานิสถานได้สำเร็จในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ทำให้ซามูนซึ่งมีอาชีพเป็นนักบัญชีและเคยร่วมงานกับรัฐบาลสหรัฐฯ มาก่อนกลัวว่า ครอบครัวของเขาอาจจะตกอยู่อันตรายได้
แต่ก็ถือว่าเป็นโชคดีของซามูน เพราะเขา ภรรยาและลูกอีกสามคนเป็นผู้อพยพจำนวนไม่กี่คนที่ได้รับการอนุมัติวีซ่าผู้ลี้ภัยเข้าสหรัฐฯ ได้อย่างรวดเร็วในเวลานั้น ครอบครัวของจึงเร่งเดินทางขึ้นเครื่องบินอพยพเที่ยวพิเศษมายังสหรัฐฯ
ในช่วงแรก ซามูนใช้เวลา 45 วันในค่ายผู้ลี้ภัยที่รัฐเท็กซัส จากนั้น เขาจึงออกเดินทางไปพบญาติ ๆ ของเขาที่เมืองซานดิเอโก รัฐแคลิฟอร์เนียได้
สำหรับเรื่องงานนั้น ซามูนยังคงรับตำแหน่งให้คำปรึกษาและบริการผ่านบริษัทในอัฟกานิสถานอยู่ แต่รูปแบบการทำงานเปลี่ยนไปเป็นแบบระยะไกลแทน (remote work)
เขาอธิบายว่า ปกติ สำนักงานที่อัฟกานิสถานนั้นเริ่มงานตั้งแต่ 8 โมงเช้าตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งก็ประมาณ 1 ทุ่มครึ่งหรือสองทุ่มครึ่งตามเวลาท้องถิ่นของสหรัฐฯ ที่เมืองซานดิเอโก โดยขึ้นอยู่กับเวลาออมแสง (daylight saving) ซึ่งหมายความว่า ตัวเขาจะทำงานในช่วงเวลากลางคืนและพักผ่อนในเวลากลางวันเป็นหลัก
นอกจากนี้ ซามูนเล่าว่า เมืองซานดิเอโกนั้นมีชุมชนมุสลิมขนาดใหญ่ที่ต้อนรับและช่วยให้เขาและครอบครัวปรับตัวเข้ากับชีวิตใหม่ในสหรัฐฯ ด้วย และปัจจุบัน ซามูนรับหน้าที่เป็นอาสาสมัครเพื่อช่วยเหลือให้ผู้ลี้ภัยคนอื่นเช่นกัน
วีโอเอ ได้พูดคุยกับ ซากิป นาวาบิ ผู้นำศาสนาในชุมชนมุสลิมที่ซามูนอาศัยอยู่ ซึ่งได้เล่าให้ฟังถึงความเป็นอยู่ของสมาชิกในช่วงที่ผ่านมา
นาวาบิ ซึ่งเป็นอิหม่ามที่มัสยิดดารูลุลูมในชุมชนเมืองซานดิเอโก กล่าวว่า ตัวเขาพยายามบอกให้ผู้ลี้ภัยอดทน และแสดงให้พวกเขาเห็นว่า ในประเทศนี้ ทุกคนสามารถประสบความสำเร็จได้หลายอย่างหากมีความอดทน และในขณะเดียวกัน ควรที่จะทำตามจุดมุ่งหมายของตนเองเพื่อที่จะสร้างประโยชน์ให้กับประเทศนี้ด้วย
สำหรับจุดมุ่งหมายของซามูนนั้น คือ การให้ลูก ๆ ของเขามีความใฝ่ฝันแบบอเมริกัน แต่ทั้งนี้ ซามูนไม่อยากให้เด็ก ๆ เหล่านี้ลืมภูมิลำเนาและความเป็นอัฟกันของพวกเขาด้วย
ซามูน กล่าวว่า "ผมอยากให้ลูก ๆ เป็นชาวอเมริกัน แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็อยากให้พวกเขาเป็นชาวอัฟกันด้วย ผมอยากให้พวกเขาพูดได้มากกว่าภาษาเดียว สามภาษาเลยยิ่งดี คือ ภาษาประจำชาติของผม ซึ่งก็คือภาษาปาทานและภาษาดารี และอีกภาษาหนึ่งก็คือ ภาษาอังกฤษ ผมอยากให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน และผมจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อจะบรรลุเป้าหมายนี้”
ปัจจุบัน ซามูนกำลังพยายามสอบใบรับรองการเป็นนักบัญชีในสหรัฐฯ และหวังว่า จะเปิดบริษัทของตนเองในอเมริกา เหมือนกับที่เขาเคยเปิดในอัฟกานิสถานนั่นเอง
- ที่มา: วีโอเอ