ขบวนการรัฐอิสลาม หรือ Islamic State และที่มักเรียกกันย่อๆว่า ISIS หรือ ISIL ได้เข้ายึดพื้นที่ในภาคตะวันออกของซีเรีย และภาคเหนือของอิรัก โดยประกาศความตั้งใจที่จะจัดตั้งรัฐอิสลามขึ้นมา
แต่หลังจากที่เข้ายึดครองเมือง Raqaa ในซีเรียได้สองสามเดือน กลุ่ม ISIS พบว่าศัตรูของขบวนการฯสามารถเล็ดลอดหนีไปได้แม้จะมีด่านตรวจ โดยที่คนเหล่านั้นแต่งตัวเป็นผู้หญิงมีผ้าคลุมศีรษะ นักรบของ ISIS ซึ่งเป็นชาย ตรวจคนเหล่านั้นไม่ได้
ISIS จึงจัดตั้งกองพลน้อยหญิงล้วนขึ้นมา เรียกชื่อว่า al-Khansaa ซึ่งเป็นชื่อของกวีผู้มีชื่อเสียง และเป็นสาวกตั้งแต่ต้นคนหนึ่งของพระศาสดา Muhammad ทำงานที่ด่านตรวจ
แต่กองพลน้อยหญิงล้วนนี้ยังทำงานลาดตระเวณเมือง Raqaa เพื่อดูแลและควบคุมให้ผู้หญิงปฏิบัติตามกฎระเบียบในการประพฤติปฏิบัติของรัฐอิสลามด้วย หน่วยงานนี้ยังช่วยแก้ปัญหาทางด้านประชาสัมพันธ์และภาพลักษณ์ให้กับขบวนการ ISIS ด้วย อย่างในกรณีที่ผู้หญิงชาวอิรักสามคนถูกนักรบของ ISIS ข่มขืน และผู้หญิงคนหนึ่งฆ่าตัวตาย
Humera Khan ผู้อำนวยการบริหารของ Muflehun ซึ่งเป็นกลุ่มนักต่อสู้เคลื่อนไหวทางสังคมในกรุงวอชิงตัน และทำงานต่อต้านความรุนแรงสุดโต่งและศึกษาผู้หญิงกับความรุนแรงทางสื่อสังคม ให้ความเห็นว่า พวก ISIS ต้องการสร้างสังคม หรือรัฐอิสลามตามที่กล่าวอ้างไว้ การจะทำเช่นนั้นได้ก็ต้องสร้างครอบครัว และหาผู้หญิงมาแต่งงานกับนักรบของพวกตน ซึ่งจะต้องเป็นผู้หญิงที่เชื่อในอุดมการณ์และวิธีการของพวกตน การมีเรื่องอื้อฉาว ทำให้หาผู้หญิงได้ยากขึ้น
และในขณะที่ผู้หญิงที่เชื่อมั่นในอุดมการณ์ของ ISIS มักจะถูกจำกัดบทบาทไว้ตามประเพณีที่เป็นมา ผู้หญิงที่ถือว่าเป็นคนนอก มักจะถูกใช้เป็นเครื่องมือทางยุทธวิธี
Mia Bloom ได้เขียนหนังสือไว้หลายเล่มเกี่ยวกับผู้หญิงและการก่อการร้าย เธอบอกว่า กลุ่มก่อการร้ายจะข่มขืนผู้หญิงที่ถือว่าเป็นคนนอกเสียเอง หลังจากนั้น จะบอกกับผู้หญิงว่า เธอได้ทำความอับอายขายหน้าให้กับครอบครัว และมีทางเลือกอยู่ทางเดียว คือสละตัวเป็นผู้วางระเบิดพลีชีพ หรือ shahida ซึ่งจะช่วยให้ญาติพี่น้องที่ใกล้ชิด 72 คนได้ขึ้นสวรรค์ในทันทีด้วย
นอกจากกลุ่ม Ansaar al-Sunna ในอิรักที่นำวิธีนี้มาใช้แล้ว เป็นที่เชื่อกันว่ากลุ่ม Boko Haram ในไนจีเรียก็ใช้วิธีการที่ว่านี้ด้วย
