นักการทูตระดับสูงจากยุโรปและสหรัฐฯ ต่างมีความเคลื่อนไหวในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ด้วยความมุ่งหวังที่จะควบคุมไม่ให้สงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสที่ดำเนินมากว่าสามเดือน ลุกลามออกไปนอกพื้นที่ฉนวนกาซ่า
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ และโจเซพ บอร์เรลล์ ผู้แทนระดับสูงด้านนโยบายต่างประเทศและความมั่นคงของสหภาพยุโรป ต่างแยกกันเดินทางเยือนตะวันออกกลาง โดยมีเป้าหมายเพื่อควบคุมไม่ให้สงครามลุกลามไปยังประเทศเลบานอน เขตเวสต์แบงก์ และพื้นที่เดินเรือในทะเลแดง
ในวันอาทิตย์ บลิงเคนได้เข้าพบกับกษัตริย์อับดุลลาห์ที่สองแห่งจอร์แดน และชีค ทามิม บิน ฮาหมัด อัล ธานี เจ้าผู้ครองรัฐกาตาร์ เพื่อพูดถึงความจำเป็นที่อิสราเอลจะต้องลดจำนวนความเสียหายที่เกิดขึ้นกับพลเรือน รวมทั้งการเพิ่มความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเข้าไปในฉนวนกาซ่าซึ่งเป็นสมรภูมิรบ
ในการเยือนตะวันออกกลางครั้งที่ 4 นับตั้งแต่สงครามอิสราเอล-ฮามาส เริ่มขึ้น บลิงเคนยังมีกำหนดการเดินทางไปยังสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซาอุดีอาระเบีย อิสราเอล เขตเวสต์แบงก์ และอียิปต์
สำนักพระราชวังของจอร์แดน ระบุว่า กษัตริย์อับดุลลาห์ “เตือนถึงผลสะท้อนกลับอย่างใหญ่หลวง” ของสงครามในกาซ่า และกดดันให้สหรัฐฯ เรียกร้องให้เกิดการหยุดยิง ทั้งนี้ ที่ผ่านมาสหรัฐฯ เชื่อว่า การหยุดยิงจะให้โอกาสกลุ่มติดอาวุธฮามาสตั้งตัวได้ แล้วกลับมาสู้กับอิสราเอลอีกครั้ง
บลิงเคนยังได้เดินทางไปกรุงอัมมาน เมืองหลวงของจอร์แดน เพื่อเยี่ยมเยือนโกดังของโครงการ World Food Program ซึ่งเป็นจุดที่นำปัจจัยความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมมาจัดเก็บ ก่อนส่งไปที่ฉนวนกาซ่า
“เรามีความมุ่งมั่นที่จะทำทุกอย่างที่ทำได้ เพื่อบรรเทาสถานการณ์สำหรับเหล่าชาย หญิง และเด็กในกาซ่า” รมว.ต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าว
บลิงเคนยังกล่าวกับสื่อมวลชนในวันเสาร์ว่า ได้เข้าพูดคุยกับประธานาธิบดีเรจิบ เทยิบ เออร์โดวาน แห่งตุรกี ที่เตรียมจะใช้อิทธิพลที่มีกับประเทศสำคัญ ๆ ในตะวันออกกลาง เพื่อควบคุมผลกระทบและความรุนแรงของสงครามในกาซ่า
รมว.ต่างประเทศของตุรกี ฮาคาน ฟิดาน ก็ได้มีการพบปะกับบลิงเคนในอีกการประชุมหนึ่ง และเรียกร้องให้มีการหยุดยิงโดยทันที โดยแหล่งข่าวทางการทูตของตุรกียังเผยว่า ฟิดานได้เรียกร้องให้เริ่มการเจรจาระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ตามแนวทางสองรัฐโดยทันที
สหรัฐฯ เรียกร้องให้เกิดสันติภาพและความมั่นคงที่ยาวนานสำหรับอิสราเอลและปาเลสไตน์ และสนับสนุนให้ชาวปาเลสไตน์มีสิทธิทางการเมือง นั่นหมายถึงการทำให้เกิดรัฐปาเลสไตน์ พร้อม ๆ กับการรับประกันว่าอิสราเอลก็จะมีความมั่นคงปลอดภัยด้วย
รอยเตอร์รายงานว่า แม้จะมีความกังวลจากนานาประเทศ แต่ความเห็นของชาวอิสราเอลนั้น ยังคงสนับสนุนการกวาดล้างกลุ่มฮามาส สวนทางกับความนิยมในตัวนายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู ที่ลดลงอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันอาทิตย์ เนทันยาฮูกล่าวว่า “สงครามจะต้องไม่หยุดลง จนกว่าเราจะบรรลุเป้าหมายทั้งหมด (ได้แก่) การทำลายฮามาส การกลับมาของตัวประกันทั้งหมด และรับประกันว่ากาซ่าจะไม่เป็นภัยคุกคามกับอิสราเอลอีกต่อไป” และยังระบุว่า “ผมพูดสิ่งนี้กับทั้งศัตรูและมิตรของเรา”
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา กลุ่มติดอาวุธเฮซบอลลาห์ในเลบานอน ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยอิหร่านได้ยิงจรวดหลายสิบลูกใส่พื้นที่ตอนเหนือของอิสราเอล
ในวันเดียวกัน แมทธิว มิลเลอร์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวว่า บลิงเคนได้แสดงความขอบคุณที่กรีซสนับสนุนอิสรภาพการเดินเรือในทะเลแดง ที่กลุ่มติดอาวุธฮูตีประกาศว่าจะไม่หยุดโจมตีเรือสินค้าจนกว่าอิสราเอลจะล้มเลิกปฏิบัติการในกาซ่า
นอกจากนั้น วันเสาร์ที่ผ่านมา ยังมีการโจมตีด้วยจรวดหลายสิบลูกในพื้นที่ตอนเหนือของอิสราเอล โดยฝีมือของกลุ่มติดอาวุธเฮซบอลลาห์ในเลบานอน ส่งผลให้อิสราเอลตอบโต้ด้วยการโจมตีทางอากาศในทางตอนใต้ของเลบานอน
ในประเด็นนี้ บลิงเคนกล่าวว่า อิสราเอลแสดงออกอย่างชัดเจนว่า ไม่ได้สนใจที่จะยกระดับความขัดแย้งในพรมแดนตอนเหนือ และเน้นย้ำว่า หากเหตุการณ์ทวีความรุนแรงขึ้น เลบานอนก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรเช่นกัน
รอยเตอร์รายงานว่า โจเซพ บอร์เรล ซึ่งเป็นตัวแทนจากสหภาพยุโรป ได้แถลงระหว่างเยือนเลบานอนเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาและระบุว่ามีความจำเป็นที่จะต้องจำกัดไม่ให้สงครามขยายออกไปในตะวันออกกลาง และเตือนอิสราเอลว่า “จะไม่มีใครชนะจากความขัดแย้งระดับภูมิภาค”
ผู้แทนจากสหภาพยุโรปเดินทางไปเลบานอน เพื่อหารือกับนายกรัฐมนตรี นาจิบ มิคาตี และเจ้าหน้าที่ระดับสูงในเลบานอน ในประเด็นเกี่ยวกับกาซ่า ผลกระทบของสงคราม และสถานการณ์บริเวณพื้นที่อิสราเอล-เลบานอน
นับตั้งแต่อิสราเอลเปิดฉากกวาดล้างกลุ่มฮามาส เพื่อตอบโต้การโจมตีเมื่อ 7 ตุลาคม ที่คร่าชีวิตราว 1,200 คน และมีตัวประกันถูกจับเข้าไปในกาซ่าอีกกว่า 240 คน ได้ทำให้พื้นที่หลายส่วนในฉนวนกาซ่าพินาศย่อยยับ กระทรวงสาธารณสุขที่ควบคุมโดยกลุ่มฮามาสระบุว่า มีประชาชนในเขตปกครองนี้เสียชีวิตไปแล้วกว่า 22,000 คน โดยส่วนมากเป็นเด็กและสตรี
ด้านองค์การสหประชาชาติชี้ว่า 85% ของประชากร 2.3 ล้านคนของกาซ่าต้องกลายมาเป็นผู้พลัดถิ่นแล้ว พร้อมเตือนว่าภัยจากความอดอยากและโรคระบาดกำลังเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ
อุม โมฮาหมัด อัล-อาร์คาน หนึ่งในผู้พลัดถิ่นในกาซ่า กล่าวกับรอยเตอร์ว่า “พวกเราหวังว่า บลิงเคนจะมองมาที่เราด้วยสายตาแห่งความเมตตา หยุดสงคราม หยุดความรันทดที่พวกเรากำลังใช้ชีวิตอยู่”
- ข้อมูลบางส่วนจากเอพีและรอยเตอร์
กระดานความเห็น