รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ คามาลา แฮร์ริส ออกประณาม “เผด็จการโหดเหี้ยม” และ โครงการพัฒนาอาวุธ “ที่สั่นคลอนเสถียรภาพ” ของเกาหลีเหนือ ระหว่างการเยือนเขตปลอดทหารชายแดนเกาหลีในวันพฤหัสบดี
ทั้งนี้ เกาหลีเหนือทดสอบการยิงขีปนาวุธวิถีโค้งพิสัยใกล้ในช่วงดึกของคืนวันพุธ หรือก่อนที่รองปธน.แฮร์ริส เยือนพื้นที่ดังกล่าวและทำการทดสอบอีกครั้งทันทีที่การเยือนสิ้นสุดลง โดยทั้งหมดนี้ทำให้จำนวนครั้งในการทดสอบอาวุธของกรุงเปียงยางในปีนี้ทำลายสถิติที่ผ่านมาไปเรียบร้อยแล้ว
รายงานข่าวระบุว่า ในช่วงที่เยือนหมู่บ้านชายแดนปันมุนจอม รองปธน.แฮร์ริส ยังได้ประณามการทดสอบขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ ว่า “เป็นการยั่วยุอย่างชัดเจน” ด้วย และว่า “ใน(เกาหลี)เหนือ เราได้เห็นเผด็จการอันโหดร้าย การละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวาง และโครงการอาวุธที่ผิดกฎหมายที่เป็นภัยต่อสันติภาพและเสถียรภาพ”
แฮร์ริส ยังได้พบกับเจ้าหน้าที่ทหารของสหรัฐฯ และรับฟังสรุปรายงานโดยเจ้าหน้าที่อาวุโสของกองทัพสหรัฐฯ ก่อนที่จะใช้กล้องส่องทางไกลมองเข้าไปดูในพื้นที่ฝั่งเกาหลีเหนือ ดังเช่นที่อดีตประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนก่อน ๆ ที่มาเยือนเขตปลอดทหารเคยได้ทำ
รายงานข่าวเปิดเผยว่า พื้นที่ฝั่งเกาหลีเหนือของหมู่บ้านสงบศึกปันมุนจอม ซึ่งเป็นบริเวณที่มีการลงนามในความตกลงการสงบศึกเกาหลี เมื่อปี ค.ศ. 1953 นั้นดูรกร้างว่างเปล่า และเต็มไปด้วยวัชพืชปกคลุมเต็มไปหมด โดยมีเพียงเจ้าหน้าที่ทหารเกาหลีเหนือ 3 นาย ในชุดป้องกันสารเคมีที่ปกปิดตั้งแต่หัวจรดเท้า ประจำการอยู่เท่านั้น
ก่อนหน้าการเยือนพื้นที่ดังกล่าว รองปธน.สหรัฐฯ ได้เข้าพบประธานาธิบดี ยูน ซุก ยอล ผู้นำรัฐบาลเกาหลีใต้หัวอนุรักษ์นิยมที่ประกาศพัฒนาส่งเสริมความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ โดย แฮร์ริส กล่าวว่า “เป้าหมายที่เรามีร่วมกัน (ของ)สหรัฐฯ และสาธารณรัฐเกาหลี คือ การปลดอาวุธในคาบสมุทรเกาหลีอย่างสมบูรณ์”
การเดินทางเยือนเกาหลีใต้ครั้งนี้ของรองปธน.สหรัฐฯ มีจุดมุ่งหมายที่จะตอกย้ำความมุ่งมั่นของสหรัฐฯ ในการปกป้องเกาหลีใต้ โดยในเวลานี้ มีเจ้าหน้าที่ทหารอเมริกันราว 28,000 นายที่ประจำอยู่ในประเทศนี้ ซึ่งเป็นนโยบายที่ตกทอดมาจากเมื่อครั้งสงครามเกาหลีในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1950 ที่จบลงด้วยการสงบศึก แทนที่จะเป็นการทำสนธิสัญญาสันติภาพ
การแวะเยือนเขตปลอดทหารเกาหลีนี้ เป็นจุดสุดท้ายของการเยือนเอเชียเป็นเวลา 4 วันของรองปธน.แฮร์ริส หลังจากเดินทางไปญี่ปุ่นมาก่อนหน้านี้
- ที่มา: วีโอเอ