รายงานการสำรวจครั้งใหม่โดยสำนักงานสถิติของสหรัฐ ระบุว่า จำนวนผู้ที่ตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมรุนแรงในสหรัฐฯ มีจำนวนเพิ่มขึ้น 22% ในช่วงสามปีที่ผ่านมา หลังจากที่อัตราดังกล่าวลดลงมานานกว่าสองทศวรรษ
ทั้งนี้ในปี พ.ศ. 2561 มีจำนวนผู้ได้รับเสียหายจากอาชญากรรมรุนแรง 3.3 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 2.7 ล้านคนในปี พ.ศ. 2558 รายงานประจำปีดังกล่าว จัดทำขึ้นโดยสำนักงานสำมะโนประชากรสหรัฐฯ
สถิติที่เพิ่มขึ้นในสามปีนี้เกิดจากการการที่ผู้ถูกข่มขืนและถูกล่วงละเมิดทางเพศมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นจาก 204,000 ราย เป็น 347,000 ราย การถูกทำร้ายร่างกายเพิ่มขึ้นจาก 561,000 ราย เป็น 694,000 ราย และการล่วงละเมิดทั่วๆ ไปเพิ่มขึ้นจาก 1.7 ล้านรายเป็น 2.1 ล้านราย
การสำรวจของ BJS ซึ่งทำติดต่อกันมาเป็นครั้งที่สามเพื่อแสดงให้เห็นถึงจำนวนผู้ที่ตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมรุนแรงที่เพิ่มมากขึ้น หลังจากที่ลดลงไป 60% ระหว่างปี พ.ศ. 2537 และ พ.ศ. 2558 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อาชญากรรมลดลงทั่วสหรัฐฯ
Rachel Morgan และ Barbara Oudekerk นักสถิติของ BJS เขียนไว้ในรายงานว่าแนวโน้มทั่วไปของการก่ออาชญากรรมรุนแรงในสหรัฐฯ ที่ลดลงมาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี ค.ศ.1990 ได้พลิกกลับในทิศทางตรงกันข้ามเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา
การค้นพบดังกล่าวนี้ขัดแย้งกับการยืนยันจากรัฐบาลของประธานาธิบดีทรัมป์ว่าได้ช่วยยับยั้งการแพร่ระบาดของอาชญากรรมความรุนแรง ซึ่งโทษว่ามีสาเหตุมาจากนโยบายการเข้าเมืองของอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ FBI รายงานว่าอัตราการก่ออาชญากรรมรุนแรงลดลง 4.3% ในช่วงหกเดือนแรกของปีพ.ศ. 2561 หลังจากที่อัตรานี้ลดลงเล็กน้อยในปีพ.ศ. 2560 และการลดลงแบบสองปีติดต่อกันนี้เกิดขึ้นหลังจากที่การก่ออาชญากรรมรุนแรงเพิ่มขึ้น 8% ในปีพ.ศ. 2558 และพ.ศ. 2559 ข้อมูลของ FBI นี้อ้างอิงจากการรายงานโดยสมัครใจของหน่วยงานตำรวจในพื้นที่หลายพันแห่ง
Andrew Wheeler นักอาชญาวิทยาจากมหาวิทยาลัยเท็กซัสที่เมืองดัลลัส กล่าวว่า การเพิ่มขึ้นของอัตราการก่ออาชญากรรมในครั้งนี้ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่รัฐบาลของประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวอ้างไว้ และเขาคิดว่ามีหลักฐานที่ดีที่บ่งบอกได้ว่าอัตราการก่ออาชญากรรมที่เพิ่มขึ้นเมื่อสองสามปีที่ผ่านมา เป็นเพราะมีแหล่งข้อมูลที่แตกต่างกัน แต่การเพิ่มขึ้นนั้นจะน่าตกใจหรือมีความสำคัญหรือไม่นั้นเขาไม่แน่ใจว่าจะมีหลักฐานที่บ่งชี้ถึงเรื่องนั้นหรือไม่
