รายงานล่าสุดจากกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ ระบุว่า ชาวอเมริกันราว 1.5 ล้านคนยื่นเรื่องขอรับสวัสดิการการว่างงานในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยตัวเลขล่าสุดแสดงให้เห็นถึงการลดลงต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 14 แต่ยังถือว่าสูงสำหรับเศรษฐกิจของสหรัฐฯ
ตามข้อมูลของกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ ตัวเลขชาวอเมริกันที่ยื่นเรื่องขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ลดลงมามากจากระดับ 6.9 ล้านคนต่อสัปดาห์เมื่อปลายเดือนมีนาคม และตัวเลขสะสมตั้งแต่กลางเดือนมีนาคมแสดงให้เห็นว่า มีผู้ขอรับสวัสดิการไปแล้วราว 47 ล้านคน ซึ่งคิดเป็น 1 ใน 4 ของแรงงานในสหรัฐฯ จำนวน 164.6 ล้านคน
อย่างไรก็ดี ข้อมูลจากกระทรวงฯ ชี้ว่า ขณะนี้ ผู้ที่ยังรับความช่วยเหลือจากรัฐนั้น ลดลงมาอยู่ที่ราว 19.5 ล้านคนแล้ว เนื่องจากแรงงานหลายล้านคนได้กลับเข้าทำงานอีกครั้ง หลังธุรกิจนับพันแห่งทั่วสหรัฐฯ เริ่มกลับมาเปิดทำการในช่วงที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม รายงานข่าวระบุว่า การพุ่งขึ้นของตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ในหลายรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รัฐที่ตั้งอยู่ทางภาคใต้ของประเทศ เช่น แคลิฟอร์เนีย เท็กซัส และฟลอริดา ที่ไม่ได้มีการระบาดหนักในช่วงแรกเหมือนหลายรัฐทางภาคเหนือ ทำให้ธุรกิจหลายแห่งตัดสินใจปิดร้านอีกครั้ง รวมทั้งเลิกจ้างงานเพิ่ม เช่นเดียวกับหน่วยงานรัฐทั้งระดับรัฐบาลและระดับท้องถิ่นที่เพิ่งประกาศเลิกจ้างงานเช่นกัน
ข้อมูลล่าสุด ณ เดือนพฤษภาคมระบุว่า อัตราว่างงานสหรัฐฯ อยู่ที่ระดับ 13.3 เปอร์เซ็นต์ แต่เจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกล่าวว่า หากพิจารณาค่าความคลาดเคลื่อนของการสำรวจแล้ว ตัวเลขน่าจะอยู่ที่ราว 16.4 เปอร์เซ็นต์มากกว่า
ธนาคารกลางสหรัฐฯ ประเมินไว้ว่า อัตราว่างงานในประเทศจะลดลงสู่ระดับ 9.3 เปอร์เซ็นต์ภายในสิ้นปีนี้ และปรับลดต่อเนื่องไปเป็น 6.5 เปอร์เซ็นต์ภายในสิ้นปี ค.ศ. 2021
ในเวลานี้ รัฐบาลประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ และสมาชิกรัฐสภากำลังถกแผนกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมแต่ยังไม่ได้ข้อสรุปใดๆ ขณะที่นโยบายอุดหนุนบุคคลว่างงานสัปดาห์ละ 600 ดอลลาร์มีกำหนดจะสิ้นสุดใน 5 สัปดาห์ข้างหน้า ซึ่ง ปธน.ทรัมป์ เพิ่งออกมาแสดงจุดยืนสนับสนุนการยืดเวลาจ่ายเงินอุดหนุนต่อไป และเห็นควรว่ารัฐบาลน่าจะส่งเงินช่วยเหลือมูลค่า 1,200 ดอลลาร์ให้กับประชาชนผู้เสียภาษีและมีสิทธิ์อีกรอบ หลังทำการดังกล่าวไปแล้วก่อนหน้านี้ แม้สมาชิกพรรครีพับลิกันจะแสดงความกังวลว่า การอัดฉีดเงินช่วยเหลือต่อเนื่องจะทำให้ภาระหนี้ของรัฐที่ระดับกว่า 26 ล้านล้านดอลลาร์ในปัจจุบันพุ่งสูงขึ้นไปอีกก็ตาม
