ผู้บริหารกองทุนการเงินระหว่างประเทศ และผู้นำของสหภาพยุโรป ร่วมต่อต้านแผนขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยกล่าวว่าแนวทางดังกล่าวอาจจุดชนวนสงครามการค้าในตลาดโลก
หลังการประกาศแผนดังกล่าวของประธานาธิบดีทรัมป์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว คณะกรรมาธิการยุโรป ซึ่งเป็นหน่วยงานบริหารของสหภาพยุโรป เตรียมมาตรการตอบโต้ หากสหรัฐฯขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าดังกล่าวจริง
สินค้าจากสหรัฐฯ ที่อาจได้รับผลกระทบจากมาตรการตอบโต้ของสหภาพยุโรป ประกอบด้วย กางเกงยีนส์ รถจักรยานยนต์ยี่ห้อ Harley-Davidson เหล้าเบอร์บอน น้ำส้มคั้น และเนยถั่ว หรือ peanut butter
ผู้นำฝ่ายบริหารของสหภาพยุโรป นายโดนัลด์ ทัสค์ เตือนถึงผลร้ายจากการเกิดสงครามการค้า และเรียกร้องให้เกิดการดำเนินนโยบายอย่างมีความรับผิดชอบ
ขณะเดียวกัน คริสติน ลาการ์ด กรรมการผู้จัดการใหญ่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ กล่าวผ่านสื่อวิทยุของยุโรปว่า หากมาตรการขึ้นภาษีกลายเป็นเหตุผลให้คนเกิดข้องสงสัยเกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศ อาจมีการเปลี่ยนแปลงที่นำไปสู่การชะลอตัวทางการค้า ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่น่ากังวลและจะไม่มีใครเป็นผู้ชนะ
เธอกล่าวว่า กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายเจรจากัน
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ประธานาธิบดีทรัมป์ บอกว่าสงครามการค้าเป็นเรื่องที่ดี และง่ายที่จะได้ชัยชนะ เขาประกาศแผนเก็บภาษีนำเข้าร้อยละ 25 สำหรับสินค้าเหล็ก และภาษี 10 เปอร์เซ็นต์สำหรับสินค้าอะลูมิเนียม
คำประกาศนี้นำมาซึ่งเสียงวิจารณ์จากนักการเมืองภายในพรรครีพับลิกันด้วยกันเอง
ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภา ส.ว. มิทช์ แมคคอนอล และประธานสภาผู้แทนราษฎร ส.ส. พอล ไรอัน ต่างแสดงความกังวลต่อคำประกาศของประธานาธิบดีทรัมป์
และเมื่อวานนี้ตามเวลาสหรัฐฯ นายแกรี โคห์น ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลสหรัฐฯ ผู้ซึ่งไม่เห็นด้วยกับมาตรการดังกล่าวเช่นกัน ประกาศลาออกจากตำแหน่ง
อย่างไรก็ตาม นักการเมืองฝั่งเดโมแครตบางราย เช่น วุฒิสมาชิก บ็อบ เคซีย์ จากรัฐเพนซิลเวเนีย และ ส.ว. เชอร์รอด บราวน์ จากรัฐโอไฮโอ ซึ่งทั้งสองรัฐเป็นศูนย์อุตสาหกรรมหนัก เห็นด้วยกับการเก็บภาษีนำเข้า สินค้าเหล็กและอะลูมิเนียม
รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ นายวิลเบอร์ รอสส์ กล่าวว่า แผนขึ้นภาษีที่ประกาศไปได้รับการกลั่นกรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว และว่าสหรัฐฯ ไม่ได้มุ่งสร้างสงครามการค้า แต่จะใช้มาตรการนี้อย่างเฉพาะเจาะจง
(รัตพล อ่อนสนิท เรียบเรียงจากรายงานของ Ken Bredemeier)
