ผลการสำรวจเกี่ยวกับดัชนีความมั่นใจของผู้ประกอบธุรกิจขนาดย่อมในสหรัฐฯ ซึ่งจัดทำโดย สมาคมธุรกิจขนาดย่อมแห่งชาติ และ สมาพันธ์ธุรกิจอิสระแห่งชาติ ชี้ให้เห็นว่า ผู้ประกอบธุรกิจขนาดย่อมส่วนใหญ่เชื่อว่าเศรษฐกิจอเมริกันดีขึ้นกว่าเมื่อ 6 ปีที่แล้ว
ผลสำรวจของสมาคมธุรกิจขนาดย่อมแห่งชาติ ชี้ว่า 54% ของผู้ประกอบธุรกิจขนาดย่อม เชื่อว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวในช่วง 1 ปีข้างหน้า และมี 80% ที่มั่นใจในอนาคตของธุรกิจของตนเอง เพิ่มขึ้นจากระดับ 72% จากการสำรวจก่อนหน้านี้
ขณะที่ราว 66% เชื่อว่ารายได้จากธุรกิจของพวกเขาจะเพิ่มขึ้นในช่วง 1 ปีข้างหน้า
ส่วนผลสำรวจของสมาพันธ์ธุรกิจอิสระแห่งชาติ ระบุว่าดัชนีความมั่นใจของผู้ประกอบธุรกิจขนาดย่อมเพิ่มขึ้น 0.1% ไปอยู่ที่ระดับ 105.9% ซึ่งเป็นระดับสูงที่สุดตั้งแต่เดือนธันวาคม ปี ค.ศ. 2004
โดยผู้ประกอบการรายย่อยราว 18% มีแผนจ้างงานเพิ่มภายในปีนี้
ตั้งแต่การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อเดือนพฤศจิกายน นักวิเคราะห์จำนวนมากต่างเชื่อว่า นโยบายเศรษฐกิจของโดนัลด์ ทรัมป์ จะเป็นผลเสียต่อเศรษฐกิจอเมริกา
แต่หลังจากทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งมาแล้ว 1 เดือน ดูเหมือนตัวเลขต่างๆ ทางเศรษฐกิจจะไม่เป็นอย่างที่นักวิเคราะห์เหล่านั้นคาดไว้ กล่าวคือ การใช้จ่ายของผู้บริโภคยังเพิ่มขึ้น ความมั่นใจของผู้ประกอบธุรกิจเพิ่มขึ้น การจ้างงานอยู่ในระดับสูง
ขณะที่ตลาดหุ้นก็แตะระดับสูงสุดเป็นสถิติใหม่หลายด้าน
ถึงกระนั้น หนึ่งในนักวิเคราะห์ของสำนักจัดอันดับความน่าเชื่อถือทางการเงิน Moody’s คุณ Mark Zandi ชี้ว่าตนยังเชื่อว่าในที่สุดแล้ว นโยบายเศรษฐกิจที่ทรัมป์หาเสียงเอาไว้ จะไม่เป็นผลดีในระยะยาว ซึ่งรวมถึง การขับคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย 11 ล้านคนออกจากประเทศ การเพิ่มภาษีสินค้านำเข้าจากจีนและเม็กซิโกขึ้นอีก 35 – 45%
และการเพิ่มการใช้จ่ายในโครงการสาธารณูปโภคต่างๆ ซึ่งจะทำให้รัฐบาลขาดดุลราว 10 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วง 10 ปีข้างหน้า
ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญของธนาคาร Goldman Sachs เชื่อว่าดัชนีความมั่นใจผู้บริโภคได้เพิ่มขึ้นจนถึงจุดสูงสุดแล้ว และจะค่อยๆ ลดลงจากนี้ต่อไป