ในขณะนี้คนอเมริกันสูงอายุส่วนใหญ่ที่เกษียณจากงานแล้วมักต้องพึ่งพาเงินจ่ายรายเดือนจากกองทุนประกันสังคม หรือ Social Security Fund ซึ่งผู้ทำงานแต่ละคนต้องถูกหักภาษีไว้ตลอดชีวิตการทำงาน แต่ปัญหาการขาดดุลย์งบประมาณในขณะนี้ทำให้รัฐสภาและรัฐบาลสหรัฐฯ เริ่มหันมาพิจารณาเพื่อลดการจ่ายเงินสวัสดิการสังคมนี้ลง หรือยืดเกณฑ์อายุที่จะได้รับเงินจ่ายรายเดือนนี้ออกไป ยิ่งกว่านั้นสัดส่วนของคนอเมริกันวัยทำงานซึ่งเป็นฐานภาษีสำหรับกองทุน Social Security ดังกล่าวกับจำนวนคนในกลุ่ม Baby Boomer ที่เริ่มทยอยเกษียณจากงานจะลดลงจาก 3 ต่อ 1 ในขณะนี้ เหลือ 2 ต่อ 1 ในอีกราว 20 ปีข้างหน้า
สำหรับผู้ที่ทำงานในภาคเอกชนนั้น นายจ้างมักจะมีโครงการออมและการลงทุนเพื่อใช้จ่ายหลังเกษียณที่เรียกกันว่าโครงการ 401-K ซึ่งนายจ้างร่วมจ่ายเงินสมทบให้ส่วนหนึ่ง และอาศัยการลงทุนในลักษณะต่างๆ เช่นในตลาดหลักทรัพย์เพื่อให้เงินออมส่วนบุคคลนี้งอกงามขึ้นมา แต่การลงทุนในทุกลักษณะมีความเสี่ยงอยู่ในตัว และอาจารย์ Annamaria Lusardi จากคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัย George Washington ชี้ว่า คนอเมริกันส่วนใหญ่ยังไม่มีความรู้ความเข้าใจที่จำเป็นในเรื่องการเงินและการลงทุน เช่นเรื่องดอกเบี้ยทบต้น มูลค่าปัจจุบัน ผลกระทบของเงินเฟ้อ และหลักการกระจายความเสี่ยง เป็นต้น คุณ Ray Greene ราษฎรสูงอายุชาวอเมริกันคนหนึ่งตั้งข้อสังเกตว่าเป็นเรื่องดีที่เรามีอายุยืนยาวขึ้น แต่คำถามที่สำคัญก็คือว่าเราจะต้องใช้เงินมากเท่าใดในการรักษาคุณภาพชีวิตในวัยหลังเกษียณ และจะต้องบริหารการออมและการลงทุนอย่างใดจึงจะมีเงินพอสำหรับอายุที่ยืนยาวหลังเกษียณจากงานนี้