สำนักงานอาหารและยาของสหรัฐฯ หรือ เอฟดีเอ รับรองวัคซีนป้องกันโควิดของบริษัทเวชภัณฑ์ โนวาแวกซ์ (Novavax) เป็นทางเลือกล่าสุดสำหรับชาวอเมริกันวัยผู้ใหญ่อายุเกิน 18 ปี โดยฉีดสองเข็มสำหรับสร้างภูมิคุ้มกันเบื้องต้น
วัคซีนของโนวาแวกซ์ใช้วิธีผลิตจากสารโปรตีนของไวรัส ซึ่งถือเป็นวิธีดั้งเดิมเมื่อเทียบกับวัคซีนโควิดสามแบบที่ผ่านการรับรองให้ใช้ในสหรัฐฯ ไปแล้วก่อนหน้านี้ ได้แก่ เทคโนโลยี mRNA ของบริษัทโมเดอร์นา (Moderna) และไฟเซอร์ (Pfizer) กับวัคซีนของจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน (Johnson & Johnson) ที่เป็นวัคซีน Adenovirus-based หรือ ใช้ไวรัสเป็นพาหะ
ปัจจุบัน เกือบ 25% ของประชากรอเมริกันวัยผู้ใหญ่ยังคงไม่ได้รับวัคซีนโควิดเข็มแรก ซึ่งผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า น่าจะมีจำนวนไม่น้อยที่ยินยอมฉีดวัคซีนของโนวาแวกซ์ที่ใช้สารโปรตีนในการผลิตเพราะเชื่อว่าอาจมีความปลอดภัยกว่าสำหรับพวกเขา
ทางโนวาแวกซ์ได้ส่งข้อมูลเกี่ยวกับวัคซีนเข็มบูสเตอร์ให้ทางเอฟดีเอพิจารณาอนุมัติทันที รวมทั้งข้อมูลการฉีดวัคซีนผสมสูตรกับวัคซีนแบบ mRNA ด้วย นอกจากนี้ บริษัทโนวาแวกซ์เชื่อว่า วัคซีนของบริษัทตนจะมีส่วนสำคัญในการกระจายการฉีดวัคซีนเข็มบูสเตอร์ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าเป็นปัจจัยสำคัญในการรับมือการระบาดของเชื้อไวรัสกลายพันธุ์
อย่างไรก็ตาม วัคซีนของโนวาแวกซ์จะเริ่มฉีดได้หลังจากที่ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ หรือ ซีดีซี แนะนำก่อนว่าจะเริ่มฉีดวัคซีนนี้อย่างไร ซึ่งคาดว่าจะเป็นสัปดาห์หน้า
วัคซีนที่ผลิตจากสารโปรตีนของไวรัสแบบที่โนวาแวกซ์ใช้นี้ ถือเป็นวิธีดั้งเดิมที่ใช้มานานแล้วเพื่อป้องกันเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบี รวมทั้งโรคอื่น ๆ ซึ่งแตกต่างกับเทคโนโลยี mRNA ที่เป็นเทคโนโลยีแบบใหม่
ผลการทดลองวัคซีนของโนวาแวกซ์ พบว่ามีประสิทธิผลสูงในการป้องกันการติดเชื้อโคโรนาไวรัส และลดความเสี่ยงของการเกิดอาการรุนแรง
เมื่อเดือนที่แล้ว โนวาแวกซ์แสดงผลการทดสอบในระดับน่าพอใจในการป้องกันเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธ์โอมิครอนกลายพันธุ์ด้วย
ก่อนหน้านี้ หน่วยงานกำกับดูแลของยุโรปได้รับรองให้ใช้วัคซีนของโนวาแวกซ์กับเด็กอายุ 12 ปีและมากกว่า ขณะที่หลายประเทศอนุมัติวัคซีนบูสเตอร์ของบริษัทนี้แล้วเช่นกัน
ที่ผ่านมา โนวาแวกซ์ประสบปัญหาความล่าช้าในการผลิต แต่ทางบริษัทยืนยันว่าสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้แล้ว และพร้อมผลิตให้ทันความต้องการและคำสั่งซื้อของทุกประเทศ โดยขณะนี้รัฐบาลสหรัฐฯ สั่งซื้อวัคซีนของโนวาแวกซ์ไปแล้ว 3.2 ล้านโดส
- ที่มา: เอพี