ผู้จัดงานอภิปรายโต้วาทีระหว่างสองผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยืนยันการจัดกิจกรรมครั้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งในวันที่ 3 พฤศจิกายน พร้อมประกาศการเพิ่มกฎใหม่เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ร่วมเวทีพูดแทรกกันเหมือนในการดีเบตครั้งแรก
ในการอภิปรายโต้วาทีที่มีกำหนดจัดขึ้นที่เมืองแนชวิลล์ รัฐเทนเนสซี ในวันพฤหัสบดีนี้ คณะกรรมการจัดการอภิปรายโต้วาทีสำหรับผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้แบ่งเวลาสำหรับประเด็นในการพูดคุยให้ 15 นาทีในแต่ละหัวข้อ โดยที่ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ และอดีตรองประธานาธิบดี โจ ไบเดน จะมีเวลาคนละ 2 นาทีเพื่อตอบโดยไม่ต้องกังวลว่าจะถูกอีกฝ่ายพูดแทรก เนื่องจากผู้จัดจะปิดไมโครโฟนของฝ่ายที่ไม่ต้องพูดเอาไว้ ก่อนที่ จะเปิดไมค์ของทั้งคู่เพื่อให้อภิปรายได้เต็มที่จนกว่าจะหมดเวลาในแต่ละหัวข้อ
ปธน.ทรัมป์ แสดงความไม่ค่อยพอใจเกี่ยวกับกฎใหม่ของการดีเบตนี้ โดยบอกกับผู้สื่อข่าวในวันจันทร์ ว่า “เป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรม ที่ผู้จัดงานเปลี่ยนแปลงหัวข้อในการอภิปราย และเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรมอีกด้วยที่ผู้ประกาศที่มีอคติอย่างมากมารับหน้าที่ดำเนินรายการนี้”
ผู้ที่จะมาทำหน้าที่ดำเนินรายการดีเบตเลือกตั้งผู้นำสหรัฐฯ ในเวทีสุดท้ายนี้คือ คริสเตน เวลเคอร์ ผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบขาวของสำนักข่าว NBC โดยเธอเลือกประเด็นที่จะนำมาถามในงานนี้ อันได้แก่ การต่อสู้กับการระบาดของโควิด-19 ประเด็นสังคมครอบครัวชาวอเมริกัน กรณีเชื้อชาติพันธุ์ในสหรัฐฯ ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ เรื่องความมั่นคงและภาวะการเป็นผู้นำของประเทศ
ทีมงานหาเสียงของปธน.ทรัมป์ ให้ความเห็นเมื่อวันจันทร์ว่า การดีเบตในเวทีสุดท้ายน่าจะเน้นเรื่องประเด็นที่เกี่ยวกับนโยบายและความสัมพันธ์ระหว่าประเทศมากกว่า ขณะที่ทีมงานของอดีตรองปธน.ไบเดน กล่าวหาว่า ปธน.ทรัมป์ พยายามที่จะหลีกเลี่ยงการถกเรื่องวิธีการรับมือการระบาดใหญ่ของโควิด-19 และย้ำว่า ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันแล้วว่าจะให้ผู้ดำเนินรายการเป็นผู้เลือกประเด็นการโต้วาที
ทั้งนี้ คณะกรรมการจัดการอภิปรายฯ ยืนยันในแถลงการณ์ว่า จะดำเนินการปรับเปลี่ยนรายละเอียดการดีเบตเพื่อให้เกิดอภิปรายมีประโยชน์และมีความหมาย โดยย้ำว่า คณะทำงานด้านการหาเสียงของทั้งสองฝ่ายยอมรับในข้อตกลงที่จะให้อีกฝ่ายตอบแต่ละประเด็นเป็นเวลา 2 นาทีโดยไม่ขัดจังหวะกัน
อย่างไรก็ตาม ผู้จัดงานยอมรับว่า ทั้งสองฝ่ายไม่น่าจะพอใจกับกฎทั้งหมดนี้ แต่เชื่อว่า การดำเนินการนี้จะช่วยให้เกิดสมดุลของงานและเป็นประโยชน์ต่อประชาชนชาวอเมริกัน