ผลการสำรวจสำมะโนประชากรในปีล่าสุดแสดงให้เห็นว่าสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่นับวันยิ่งจะมีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น หลังจากที่จำนวนประชากรผิวขาวลดลงในช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นการลดลงเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเก็บข้อมูลประชากร
สำนักงานสำรวจสำมะโนประชากรสหรัฐฯ หรือ Census Bureau รายงานในวันพฤหัสบดีว่า การสำรวจสำมะโนประชากร ซึ่งเป็นเก็บข้อมูลทุก ๆ หนึ่งทศวรรษ แสดงให้เห็นว่าสหรัฐฯ มีประชากรท้งหมด 331.4 ล้านคนในปีที่ผ่านมา เป็นการเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.4 ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2010 และถือว่าเป็นการเติบโตของประชากรที่ต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์การเก็บข้อมูลสำมะโนประชากร ซึ่งมีมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1790 หรือ 231 ปีก่อน
นอกจากนี้ยังพบอีกว่า องค์ประกอบด้านเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ของประชากรอเมริกันเปลี่ยนไปเช่นกัน คนอเมริกันย้ายถิ่นฐานเพื่อไปอยู่ในเขตมหานครมากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการย้ายไปรัฐทางใต้และรัฐทางตะวันตกของประเทศ ในขณะเดียวกัน คนอเมริกันมักจะย้ายออกจากเมืองเล็ก ๆ ซึ่งทำให้เมืองเล็ก ๆ เหล่านั้นเหลือประชากรน้อยลงเรื่อย ๆ
ชาวอเมริกันที่ระบุว่าตนเองเป็นคนผิวขาวยังคงเป็นสัดส่วนมากที่สุดในกลุ่มประชากรสหรัฐฯ ทั้งหมด โดยมีคนผิวขาว 204.3 ล้านคน แต่ในภาพรวม ถือว่าคนอเมริกันผิวขาวลดลงร้อยละ 8.6 ตั้งแต่ปี 2010
กลุ่มประชากรที่ใหญ่รองลงมา คือกลุ่มที่ระบุว่ามีเชื้อสายละตินและกลุ่มฮิสแปนิก หรือชาวอเมริกันผู้มีเชื้อสายมาจากประเทศที่ใช้ภาษาสเปนเป็นหลัก ซึ่งมีจำนวน 62.1 ล้านคนในปี 2020 ถือว่าเป็นกลุ่มประชากรที่เติบโตร้อยละ 23 ในช่วงหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา
ประชากรที่ระบุว่ามีมากกว่า 2 เชื้อชาติ มีทั้งหมด 33.8 ล้านคน เพิ่มมากขึ้นถึงร้อยละ 276 หรือเกือบ 3 เท่าตัว เมื่อเทียบกับปี 2010
การสำรวจยังพบว่าสหรัฐฯ มีชาวแอฟริกันอเมริกัน 46.9 ล้านคน แต่ยังถือว่าเป็นสัดส่วนที่น้อยกว่าประชากรที่ระบุว่าตัวเอง “มีเชื้อสายอื่น ๆ” ที่มี 49.9 ล้านคน
ประชากรเอเชียนอเมริกัน คิดเป็น 24 ล้านคน กลุ่มชนพื้นเมืองอเมริกัน มีทั้งหมด 9.7 ล้านคน ในขณะที่ประชากรที่เป็น “ชนพื้นเมืองฮาวายและชาวเกาะมหาสมุทรแปซิฟิกอื่น ๆ” มี 1.6 ล้านคน
นักประชากรศาสตร์บางคนมองว่า กลุ่มประชากรผิวขาวอาจจะยังเป็นกลุ่มประชากรที่มีจำนวนมากที่สุดในสหรัฐฯ ภายในปี ค.ศ. 2045 หรือในอีก 24 ปีข้างหน้า แต่พวกเขาคาดว่าชาวอเมริกันผิวขาวจะมีสัดส่วนน้อยกว่ากลุ่มประชากรเชื้อชาติอื่น ๆ เช่น ลาติโน่ คนผิวดำ และคนเอเชียนอเมริกัน รวมกัน
หากดูเฉพาะกลุ่มประชากรชนกลุ่มน้อยที่เพิ่มมากขึ้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาในสหรัฐฯ จะเห็นว่ามากกว่าครึ่งหนึ่งของตัวเลขที่เพิ่มขึ้น เป็นการเติบโตของกลุ่มฮิสแปนิก ที่เพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าในช่วงระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา
ในระดับชุมชนพบว่าชนบทสหรัฐฯ สูญเสียประชากรไปในช่วงปี 2010 ถึง 2020 โดยมีเทศมณฑล หรือ เคาน์ตี (county) เกินกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศ หรือประมาณร้อยละ 52 ที่ประชากรลดลง
อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา คือ 10 เมืองที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ที่ยังคงมีมหานครนิวยอร์ก นำเป็นอันดับหนึ่งด้วยประชากร 8.8 ล้านคน และถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่เมืองใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ทั้ง 10 เมืองมีประชากรอย่างน้อย 1 ล้านคนเป็นครั้งแรก โดยเมืองใหญ่ที่มีการเติบโตเร็วที่สุด คือ เมืองฟีนิกซ์ รัฐแอริโซนา ในเขตตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐฯ ที่มีประชากรเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.2
เจ้าหน้าที่สำนักงานการสำรวจสำมะโนประชากรสหรัฐฯ กล่าวว่า มหานคร (metropolitan areas) 312 แห่งจาก ทั้งหมด 384 แห่งในสหรัฐฯ มีประชากรเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่อีก 72 แห่งมีประชากรลดลง มหานครที่เติบโตเร็วที่สุดคือ เดอะ วิเลเลจเจส (The Villages) ในรัฐฟลอริดา ซึ่งเป็นสังคมผู้เกษียณอายุขนาดใหญ่ ที่มักจะดึงดูดผู้สูงวัยที่ต้องการหนีหนาวจากรัฐทางเหนือของอเมริกาไปสู่พื้นที่ที่อบอุ่นกว่าอย่างรัฐฟลอริดา โดย The Villages มีประชากรสูงวัยเพิ่มขึ้นร้อยละ 39 จาก 93,000 คน เป็น 130,000 คน
การสำรวจสำมะโนประชากรในปีที่ผ่านมา นอกจากจะทำให้เห็นภาพของจำนวนและองค์ประกอบของประชากรแล้ว ยังมีบทบาทสำคัญในการเมืองสหรัฐฯ อีกด้วย เพราะข้อมูลประชากรจะถูกนำมาใช้ในการแบ่งเขตเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกสภานิติบัญญัติในแต่ละเขตของแต่ละรัฐไปจนถึงการเลือกตั้งในปี 2030 โดยที่ผ่านมา ทั้งพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกัน พยายามใช้ข้อมูลประชากรแบ่งเขตการเลือกตั้งใหม่ เพื่อทำให้ผู้แทนของพรรคของตนได้เปรียบ ซึ่งมักจะนำไปสู่การฟ้องร้องกันมากมายในศาล โดยทั้งสองฝ่ายกล่าวหากันและกันว่าแบ่งเขตอย่างไม่เป็นธรรม ทำให้ผู้พิพากษาต้องเป็นผู้ตัดสินชี้ขาด
ในการเลือกตั้งทั่วไปเดือนพฤศจิกายนปีหน้า จะเป็นปีที่ชี้ขาดว่าพรรคใดจะได้ควบคุมเสียงข้างมากในสภาคองเกรส โดยจะมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 435 ที่นั่ง ซึ่งพรรครีพับลิกันต้องการเพิ่มเพียง 5 ที่นั่งเพื่อจะแย่งชิงเสียงข้างมากมาจากพรรคเดโมแครต โดยนักวิเคราะห์มองว่า พรรครีพับลิกันจะสามารถเอาชนะได้มากขึ้นจากการแบ่งเขตการเลือกตั้งใหม่
ในขณะที่อีก 1 ใน 3 ของเก้าอี้สมาชิกวุฒิสภา ก็จะต้องมีการเลือกตั้งกันใหม่เช่นกัน เพียงแต่จำนวนประชากรไม่มีผลต่อการเลือกตั้ง ส.ว. เพราะแต่ละรัฐมี ส.ว. ได้เพียง 2 คนเท่านั้น ไม่ว่าจะมีประชากรมากน้อยเท่าใดก็ตาม
ส่วนในสภาล่าง การเปลี่ยนแปลงของประชากรในสหรัฐฯ จะมีผลต่อเก้าอี้ ส.ส. 13 ที่นั่ง โดยในรัฐเท็กซัส ที่มีพรรครีพับลิกันกุมเสียงข้างมากอยู่ จะได้จำนวน ส.ส. เพิ่มขึ้นอีก 2 ที่นั่ง นอกจากนี้ยังมีอีก 5 รัฐที่จะมี ส.ส. เพิ่มขึ้นรัฐละหนึ่งคน ในขณะที่อีก 7 รัฐที่จะต้องเสียเก้าอี้ ส.ส. ไปรัฐละ 1 เก้าอี้ เป็นต้น
หากดูในภาพรวมจะเห็นว่า การเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรทางใต้ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา จะทำให้พรรครีพับลิกันได้คะแนนเสียงและที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่รัฐทางเหนือซึ่งมีจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นในอัตราที่น้อยกว่า จะส่งผลเสียต่อพรรคเดโมแครตในการเลือกตั้งอนาคต