แม้ว่าสหรัฐฯ เพิ่งจะรอดพ้นเหตุการณ์ปิดทำการ (Government Shutdown) บางส่วน ที่เป็นประเด็นร้อนตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาได้อย่างหวุดหวิด หลังจากสภาผ่านร่างงบประมาณระยะสั้นฉบับชั่วคราว เพื่อให้หน่วยงานรัฐบาลกลางเปิดทำการต่อไปจนถึงกลางเดือนพฤศจิกายนนี้ แต่ดูเหมือนว่าบรรยากาศหลังรอดพ้นชัตดาวน์ที่กรุงวอชิงตันกลับระอุคุกรุ่นยิ่งขึ้นในสัปดาห์นี้
หน่วยงานรัฐบาลกลางสหรัฐฯ เปิดทำการตามปกติในวันอาทิตย์ หลังสัปดาห์แห่งความวุ่นวายในสภาสหรัฐฯ ที่นักการเมืองฝั่งรีพับลิกันและเดโมแครตต่างงัดข้อเรื่องร่างงบประมาณมาทั้งสัปดาห์ และต่ออายุให้หน่วยงานรัฐบาลกลางดำเนินงานต่อไปได้อีก 45 วัน
ทว่าดีกรีความขัดแย้งทางการเมืองในสภาผู้แทนราษฎรของพรรครีพับลิกันกลับทวีความรุนแรงขึ้นกว่าเดิม เมื่อสมาชิกพรรครีพับลิกันฝ่ายอนุรักษ์นิยมขวาจัด ไม่พอใจท่าทีของประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ส.ส.เควิน แมคคาร์ธีย์ เกี่ยวกับการผ่านร่างงบประมาณชั่วคราวเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา
ส.ส.รีพับลิกันจากรัฐฟลอริดา แมตต์ กาสซ์ (Matt Gaetz) เผยในรายการ This Week ทางสถานีโทรทัศน์เอบีซีว่าตนจะผลักดันการปลดประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ส.ส.เควิน แมคคาร์ธีย์ ในสัปดาห์นี้
ส.ส. กาสซ์ กล่าวถึงแผนการตัดงบประมาณรัฐบาลที่ส.ส.แมคคาร์ธีย์เคยให้คำมั่นไว้กับสมาชิกรีพับลิกันสายแข็งว่า “เมื่อเดือนมกราคม ส.ส.แมคคาร์ธีย์ต้องยอมรับเงื่อนไขงบประมาณบางอย่าง เพื่อให้ได้ตำแหน่งประธานสภาฯ” และว่า “เราต้องการเปลี่ยนเรื่องเดียวในร่างงบประมาณ เขาได้ให้คำมั่นไว้แล้ว เขากลับผิดคำสัญญา”
ฝั่งประธานสภาฯ ไม่ได้กังวลในเรื่องนี้แต่อย่างใด และท้าทายฝ่ายที่ต้องการปลดเขาจากตำแหน่งในรายการ Face the Nation ทางสถานีโทรทัศน์ซีบีเอสว่า “จัดมาเลย เรามาจบเรื่องนี้และเริ่มบริหารบ้านเมืองกันเถอะ หากเขา(กาสซ์)อารมณ์เสียเพราะพยายามจะกดดันให้เราเข้าสู่ภาวะชัตดาวน์ และผมทำให้รัฐบาลไม่ปิดทำการได้ เราก็มาสู้กันเถอะ”
อียูร้องสหรัฐฯ ทบทวนแผนช่วยเหลือยูเครนใหม่
ไม่ว่าประเด็นการเมืองภายในสหรัฐฯ จะเคลื่อนไหวไปในทิศทางใด แต่ร่างงบประมาณชั่วคราวที่เพิ่งผ่านร่างไปเมื่อวันเสาร์ เพื่อให้หน่วยงานรัฐบาลกลางดำเนินงานต่อไปได้จนถึง 17 พฤศจิกายนนี้ ได้ตัดเรื่องความช่วยเหลือเพิ่มเติมแก่ยูเครนไป หลังจากส.ส.รีพับลิกันในสภาล่างเริ่มออกมาต่อต้านเรื่องนี้มากขึ้น
เอพีรายงานว่า โจเซพ บอร์เรลล์ หัวหน้าฝ่ายนโยบายต่างประเทศอียู กล่าวในวันอาทิตย์หลังการหารือกับประธานาธิบดียูเครน โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ว่าตนรู้สึกประหลาดใจต่อข้อตกลงที่เกิดขึ้นในนาทีสุดท้ายที่กรุงวอชิงตัน และเรียกร้องสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ พิจารณาการตัดสินใจนี้อีกครั้ง
หัวหน้าฝ่ายนโยบายต่างประเทศอียู กล่าวว่า “ผมหวังว่านี่จะไม่ใช่การตัดสินใจขั้นสุดท้าย และยูเครนจะยังได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ ต่อไป” และว่า “เรากำลังเผชิญกับภัยคุกคาม ชาวยูเครนกำลังต่อสู้ด้วยความกล้าหาญและศักยภาพทั้งหมดที่มี และหากเราต้องการให้พวกเขาได้รับชัยชนะ คุณต้องมอบอาวุธที่ดีขึ้นและรวดเร็วขึ้นกว่าเดิม” ขณะที่บอร์เรลล์ให้คำมั่นว่า สหภาพยุโรปจะยังคงเดินหน้าช่วยเหลือยูเครนต่อไป
ฝั่งประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ กล่าวให้คำมั่นกับยูเครนและพันธมิตรชาติตะวันตกเกี่ยวกับการเดินหน้าสนับสนุนยูเครนของสหรัฐฯ เมื่อวันอาทิตย์ และว่า “ผมไม่อยากเชื่อว่าผู้ที่โหวตสนับสนุนยูเครนอย่างท่วมท้นในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ทั้งจากพรรคเดโมแครตและรีพับลิกัน จะปล่อยให้ผู้คนในยูเครนต้องตายไปอย่างไม่จำเป็น เพียงเพราะเหตุผลทางการเมืองล้วน ๆ ”
ด้านอันดรีย์ เยอร์มัก หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ประจำทำเนียบประธานาธิบดียูเครน กล่าวว่าความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และยูเครนไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปหลังการผ่านร่างงบประมาณดังกล่าว แต่การตัดความช่วยเหลือเพิ่มเติมให้แก่ยูเครนจากงบดังกล่าวสร้างความกังวลให้แก่รัฐบาลกรุงเคียฟ ซึ่งพึ่งพาการสนับสนุนจากชาติตะวันตกในการต่อสู้กับการรุกรานของรัสเซียที่ดำเนินอยู่
ในทัศนะของราเชล ชไนเดอร์แมน จาก Bipartisan Policy Center ให้ทัศนะกับวีโอเอว่า หนทางสู่การประนีประนอมในสภาเพื่อเดินหน้าสนับสนุนงบช่วยเหลือยูเครนยังคงมีอยู่ เช่นเดียวกับการสร้างความเชื่อมั่นด้านความมั่นคงบริเวณพรมแดนสหรัฐฯ ซึ่งจะเริ่มเห็นความชัดเจนในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า
แต่ในขณะนี้ทั่วโลกกำลังจับตาใกล้ชิดว่าสหรัฐฯ จะผลักดันความช่วยเหลือยูเครนและฝ่าทางตันทางเมืองในประเทศต่อไปได้อย่างไร ในมุมมองของออสการ์ โพกาแซนเกอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านรัฐศาสตร์จากสถาบันคลังสมอง New America
โพกาแซนเกอร์ กล่าวกับวีโอเอว่า “ในระยะยาว เราต้องหันมาสนใจการปฏิรูปเชิงโครงสร้างมากขึ้น และหาทางให้มีพรรคการเมืองหลากหลายในสภา เพื่อช่วยให้เราผ่านมติในฝ่ายนิติบัญญัติมากขึ้น แทนที่จะเป็นการตอบโต้กันไปมาระหว่างสองพรรคที่มีการแบ่งขั้วกันอย่างมาก”
นักวิเคราะห์รายนี้ ทิ้งท้ายไว้ว่า ความไม่มีเสถียรภาพทางการเมืองที่เพิ่มขึ้นอาจกระทบต่อความน่าเชื่อถือของประเทศและส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอเมริกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
- ที่มา: วีโอเอและเอพี
กระดานความเห็น