รัฐบาลสหรัฐฯ มีคำสั่งออกมาในวันพุธ ให้เจ้าหน้าที่ผู้ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ในภาวะฉุกเฉิน เดินทางออกจากอิรัก ขณะที่มีนักการเมืองอเมริกันหลายคนแสดงความกังวลว่าอาจเกิดสงครามกับอิหร่าน
คำสั่งซึ่งมีผลต่อสถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงแบกแดด และสถานกงสุลสหรัฐฯ ในเมืองเออร์บิล มีขึ้นหลังจากที่รัฐบาลประธานาธิบดีทรัมป์เตือนว่า อาจมีภัยคุกคามจากอิหร่านต่อกองกำลังของสหรัฐฯ ในตะวันออกกลาง
อย่างไรก็ตาม สมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ บางคนแสดงความไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของรัฐบาลสหรัฐฯ ครั้งนี้ โดยระบุว่า ปกติแล้วจะมีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่การทูตอเมริกันออกจากประเทศใดประเทศหนึ่งทันทีด้วย 2 สาเหตุเท่านั้น หนึ่งคือมีข้อมูลข่าวกรองที่เชื่อถือได้ว่าเจ้าหน้าที่เหล่านั้นตกอยู่ในอันตราย และสองคือสหรัฐฯ เตรียมใช้กำลังทหารกับประเทศนั้น
แต่รัฐบาลประธานาธิบดีทรัมป์มิได้เปิดเผยข้อมูลว่าคำสั่งครั้งล่าสุดนี้เกิดจากสาเหตุใด หรือกำลังจะใช้มาตรการทางทหารกับอิหร่านหรือไม่
ขณะเดียวกัน มีรายงานว่ารัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ไมค์ พอมเพโอ ได้ขอให้ประเทศพันธมิตรของสหรัฐฯ ในยุโรป ช่วยบรรเทาความตึงเครียดของสถานการณ์ล่าสุดในตะวันออกกลาง ขณะที่กำลังร่วมประชุมกับรัฐมนตรีต่างประเทศของอังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมนี ในวันพุธ
เมื่อวันอังคาร ปธน.ทรัมป์ ปฏิเสธรายงานที่ว่า ตนกำลังพิจารณาส่งทหาร 120,000 คนเข้าไปในตะวันออกกลาง และอาจเพิ่มจำนวนขึ้นอีกในอนาคต
โดย ปธน.ทรัมป์ ระบุว่าข่าวดังกล่าวซึ่งอยู่ใน New York Times เป็น "ข่าวปลอม" ซึ่งตนยังไม่มีแผนจะทำเช่นนั้น "ในตอนนี้"
และในวันพุธ ปธน.ทรัมป์ ยังทวีตข้อความด้วยว่า ตนเชื่อว่าอิหร่านต้องการจะเจรจาเร็วๆ นี้
ก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ เพิ่งส่งเรือบรรทุกเครื่องบินและเครื่องบินทิ้งระเบิดเข้าไปในตะวันออกกลาง ซึ่งเชื่อว่าเป็นการเตรียมพร้อมในกรณีที่เกิดสงครามขึ้นจริงๆ
พลเอก เคนเน็ธ แม็คเคนซี ผู้บัญชาการกองทัพสหรัฐฯ ภาคพื้นตะวันออกกลาง กล่าวว่า การส่งกำลังทหารไปเพิ่มในตะวันออกกลางมีขึ้นเพื่อตอบสนองต่อความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาคนี้ สืบเนื่องมาจากท่าทีของอิหร่าน