ตัวเลขหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ พุ่งสูงถึง 30 ล้านล้านดอลลาร์ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ และเป็นระดับที่สูงกว่าจีดีพีประเทศถึงเกือบ 130 เท่า ทั้งยังส่งให้สหรัฐฯ เข้าไปอยู่ในระดับต้นๆของรายชื่อประเทศที่มีภาระหนี้สินหนักที่สุดแล้วด้วย ตามรายงานของกระทรวงการคลัง
ในความเป็นจริง หนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตลอดช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา แต่มีการเพิ่มขึ้นอย่างหนักเพราะมาตรการรับมือการระบาดใหญ่ของโคโรนาไวรัส ที่รวมความถึงการอัดฉีดเงินจำนวนมหาศาลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเพื่อเร่งอัตราการขยายตัวของประเทศ
ข้อมูลจากกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ชี้ว่า หนี้สาธารณะของประเทศเมื่อสิ้นปี ค.ศ. 2019 หรือก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19 อยู่ที่ราว 22.7 ล้านล้านดอลลาร์ ก่อนจะปรับขึ้นมาเป็น 27.7 ล้านล้านดอลลาร์ในปีต่อมา และเพิ่มเป็น 30 ล้านล้านดอลลาร์เช่นในปัจจุบัน
ข้อมูลอย่างเป็นทางการระบุว่า ณ วันที่ 31 มกราคมที่ผ่านมา หนี้สาธารณะราว 6.5 ล้านล้านดอลลาร์เป็นการกู้ยืมระหว่างหน่วยงานรัฐกันเอง เช่นสำนักงานประกันสังคมที่ดูแลกองทุนเพื่อนำจ่ายให้กับประชาชนผู้สูงอายุของประเทศ ขณะที่ หนี้สาธารณะส่วนใหญ่นั้นเป็นการกู้ยืมผ่านการออกตราสารหนี้ซึ่งถือครองโดยประชาชน ระบบธนาคารกลางสหรัฐฯ กองทุนรวมที่มีขนาดใหญ่และรัฐบาลต่างชาติ
กระทรวงการคลังสหรัฐฯ เปิดเผยว่า หนี้สาธารณะจำนวน 7.7 ล้านล้านดอลลาร์นั้นเป็นส่วนที่ถือครองโดยรัฐบาลต่างชาติ แต่ไม่มีประเทศใดที่ถือครองมากกว่า 5% ของจำนวนรวมหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ โดยข้อมูล ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายนของปีที่แล้วชี้ว่า รัฐบาลญี่ปุ่น คือเจ้าหนี้ต่างชาติรายใหญ่ที่สุดด้วยตัวเลข 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ ตามมาด้วยจีนและสหราชอาณาจักรที่ถือครองตราสารหนี้ของรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นมูลค่า 1.1 ล้านล้านดอลลาร์และ 622,000 ล้านดอลลาร์ ตามลำดับ
ขณะเดียวกัน ข้อมูลจากธนาคารโลกในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่า อัตราหนี้สาธารณะต่อจีดีพีของสหรัฐฯ นั้นอยู่ที่ 133% ซึ่งสูงเป็นอันดับที่ 12 เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ และอยู่ในอันดับที่ 4 เมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วที่เป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) โดยประเทศที่มีอัตราส่วนดังกล่าวสูงที่สุดคือ ญี่ปุ่น ที่ 257%