คำว่า LGBTQ นั้นย่อมาจาก lesbian หรือหญิงรักหญิง gay หรือชายรักชาย bisexual คนที่ชอบทั้งชายและหญิง transgender คนข้ามเพศ and queer หรือกลุ่มคนที่ไม่ได้มีเพศตามขนบสังคมทั่วไป
Aliya Feroe ยังจำวันที่แพทย์คนหนึ่งไม่ยอมรักษาเธอ แต่กลับส่งเธอให้ไปพบแพทย์อีกคนหนึ่งหลังจากทราบว่าเธอเป็น Queer แพทย์ที่ไม่ยอมรักษาเธอนั้นเป็นผู้หญิงและยังเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพสตรีอีกด้วย ส่วน Rhi Ledgerwood ได้รับคำแนะนำต่าง ๆ จากแพทย์ เช่น การป้องกันการตั้งครรภ์
Ledgerwood เกิดมาเป็นเพศหญิง แต่ตอนนี้เธอเป็นคนข้ามเพศและไม่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย คนข้ามเพศนั้นจะมีอัตลักษณ์ทางเพศที่แตกต่างจากเพศที่ถือกำเนิด
สำหรับ Tim Keyes แพทย์คิดว่าเขาสนใจในการมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิง แต่ที่จริงแล้วเขาไม่สนใจที่จะมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงเลย เมื่ออายุได้ 17 ปี Keyes ก็ประกาศว่าตนเป็นเกย์
ข้อมูลจากกลุ่มผู้สนับสนุน LGBTQ ในสหรัฐฯ ชี้ว่า บรรดาแพทย์มักคิดว่าผู้ป่วยทุกคนของตนเป็นผู้ที่มีความสนใจในเพศตรงข้าม ดังนั้นกลุ่มคนที่เป็นเพศทางเลือกจึงรู้สึกเหมือนถูกเพิกเฉย นอกจากนี้พวกเขายังไม่ค่อยเข้ารับการรักษาพยาบาล ส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมา รวมถึงภาวะซึมเศร้า การฆ่าตัวตาย การดื่มแอลกอฮอล์ และการใช้ยาเสพติด และการคัดกรองสุขภาพที่ไม่ได้ผลในอัตราที่ค่อนข้างสูง
อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้สนับสนุนเหล่านี้กล่าวว่า กำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในวงการแพทย์ ยกตัวอย่างเช่น การที่สมาคมการแพทย์อเมริกันหรือ AMA ได้ให้คำมั่นไว้เมื่อเดือนพฤศจิกายนว่าจะผลักดันกฎหมายห้ามการรักษาที่จะพยายามเปลี่ยนแปลงสมาชิกของชุมชน LGBTQ ให้เป็น heterosexuals หรือคนที่สนใจเพศตรงข้าม
นอกจากนี้ โรงเรียนแพทย์ของสหรัฐฯ กำลังขยายการศึกษาเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพของคนกลุ่ม LBGTQ และบางโรงเรียนกำลังผลักดันให้มีนักเรียนแพทย์ที่เป็นชาว LGBTQ ให้มากขึ้น
การศึกษาวิจัยแสดงให้เห็นว่า ผู้ป่วยมักจะได้รับการดูแลที่ดีกว่าเมื่อได้รับการรักษาโดยแพทย์ที่มีอัตลักษณ์ทางเพศคล้ายกับตน
Aliya Feroe เป็นนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่สามที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ในรัฐแมสซาชูเซตส์ เธอบอกกับ Associated Press ว่าแพทย์ LGBTQ ควรได้รับการปฏิบัติเหมือนนักศึกษาคนอื่น ๆ ในวงการแพทย์ และคิดว่าผู้ป่วย LGBTQ ก็ควรได้รับการดูแลที่มีคุณภาพเหมือนกันกับผู้ป่วยคนอื่นๆ ด้วยเช่นเดียวกัน
กลุ่มผู้สนับสนุนกล่าวว่า การที่มีนักเรียน LGBTQ ลงทะเบียนเรียนในโรงเรียนแพทย์และการฝึกอบรมเรื่องปัญหาสุขภาพของ LGBTQ สามารถช่วยให้บรรลุเป้าหมายเหล่านั้นได้
อย่างไรก็ตาม จำนวนของนักศึกษาแพทย์ และแพทย์ LGBTQ เหล่านี้ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด ในปีพ. ศ. 2561 AMA ได้เพิ่มการระบุอัตลักษณ์ทางเพศ และเพศในข้อมูลที่คนในวงการแพทย์สามารถเลือกที่จะระบุในโปรไฟล์ของตน จากแพทย์และนักศึกษาจำนวน 15,000 คนที่ให้ข้อมูลดังกล่าว มีผู้ที่ระบุว่าเป็นชาว LGBTQ อยู่ราว 4%
สมาคมวิทยาลัยการแพทย์อเมริกันรายงานว่า แม้ว่าโรงเรียนส่วนใหญ่จะเสนอหลักสูตร LGBTQ แต่ครึ่งหนึ่งรายงานว่ามีชั้นเรียน กลุ่มอภิปราย หรือกิจกรรมการเรียนรู้อื่นๆ เพียงไม่กี่ชั้นเรียนเท่านั้น
และการศึกษาของนักศึกษาแพทย์ที่ตีพิมพ์เมื่อเดือนมีนาคมพ.ศ. 2562 พบว่ามีปัญหาการขาดความรู้อย่างจริงจังเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพของ LGBTQ
Carl Streed นายแพทย์และรองศาสตราจารย์ที่คณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยบอสตัน ซึ่งเป็นหัวหน้าในการเขียนรายงานการศึกษาฉบับนี้กล่าวว่าประสบการณ์ที่เลวร้ายในการพบแพทย์เมื่อ 15 ปีก่อนตอนที่เขาป่วยทำให้เขาต้องการที่จะเข้ามาทำงานในวงการแพทย์
เขาเล่าว่าเมื่อตอนที่ยังเป็นนักเรียน พอเขาบอกกับหมอว่าเป็นเกย์ คุณหมอก็เริ่มแสดงอาการไม่เป็นมิตรอย่างมากและแนะนำให้เขาตรวจหาเชื้อเอชไอวีด้วย หลังจากนั้นเขาไม่เคยกลับไปพบหมอคนนี้อีกเลย
Streed กล่าวว่า ความเชื่อส่วนตัวของแพทย์ไม่ควรส่งผลต่อคุณภาพในการดูแล รวมทั้งความเมตตาที่แพทย์พึงมีต่อผู้ป่วยด้วย