รมต.ต่างประเทศสหรัฐฯ จอห์น แครี่ กล่าวสนับสนุนประโยชน์ของข้อตกลงการค้าสองฉบับที่รัฐบาลสหรัฐฯ ทำกับประเทศต่างๆ คือข้อตกลง TPP และ TTIP ระหว่างการประชุมของผู้นำรัฐบาลและเอกชน ที่นครลอสแองเจลลีส
การปราศรัยของ รมต.แครี่ ต่อผู้นำรัฐบาลและเอกชนในวันนี้ มีขึ้นหลังจากการเยือนตะวันออกกลางและเอเชียตะวันออกเป็นเวลา 1 สัปดาห์ ซึ่งรวมถึงบาห์เรน อิรัก อัฟกานิสถาน และร่วมประชุมกลุ่มประเทศ G7 ที่ญี่ปุ่น เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
ในการประชุมที่แคลิฟอร์เนีย รมต. แครี่ กล่าวปราศรัยเกี่ยวกับโอกาสด้านความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ที่เกิดจากข้อตกลงการค้า Trans-Pacific Partnership (TPP) ซึ่งสหรัฐฯ ทำกับประเทศแถบเอเชีย-แปซิฟิก และข้อตกลงการค้า Transatlantic Trade and Investment Partnership (TTIP) ซึ่งสหรัฐฯ เจรจาอยู่กับสหภาพยุโรป
เมื่อเดือนสิงหาคม รมต.แครี่ ได้กล่าวปราศรัยที่สิงคโปร์ว่า ข้อตกลงการค้าเสรี TPP ไม่ใช่แค่การสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นการยกระดับมาตรฐานในด้านต่างๆ รวมถึงมาตรฐานแรงงาน และมาตรฐานด้านความปลอดภัย
ผู้แทนของสหรัฐฯ และประเทศแถบเอเชียแปซิฟิก 11 ประเทศได้ร่วมลงนามในร่างข้อตกลงการค้าเสรี TPP เมื่อเดือน ก.พ. แต่ยังต้องรอการรับรองจากรัฐสภาของแต่ละประเทศ ก่อนที่จะมีผลบังคับใช้
ข้อตกลงการค้าเสรี TPP ครอบคลุม 40% ของมูลค่าผลผลิตมวลรวมของโลก และถือเป็นข้อตกลงการค้าขนาดใหญ่ที่สุดที่สหรัฐฯ เข้าร่วม แต่สมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ บางคนแสดงความกังวลว่าข้อตกลง TPP นี้อาจส่งผลร้ายต่อการค้าและการลงทุนของอเมริกาเอง
เมื่อเดือนที่แล้ว คณะทำงานร่วมของพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกัน มีจดหมายถึงประธานาธิบดีบารัค โอบามา ระบุว่าพวกตนยังมีความเคลือบแคลงสงสัยในข้อตกลงการค้า TPP ว่าจะทำให้คนอเมริกันจำนวนมากตกงาน เหมือนที่เคยเกิดกับข้อตกลงการค้าฉบับก่อนๆ เช่น NAFTA หรือข้อตกลงการค้าเสรีแถบอเมริกาเหนือ ที่สหรัฐฯ ทำไว้กับแคนาดาและเม็กซิโก หรือไม่?
ในขณะเดียวกัน สำนักผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ได้ระบุถึงข้อตกลงการค้าอีกฉบับหนึ่ง คือ Transatlantic Trade and Investment Partnership (TTIP) ซึ่งสหรัฐฯ กำลังเจรจาอยู่กับสหภาพยุโรปในขณะนี้ ว่าจะช่วยสร้างโอกาสในการจ้างงานให้กับประชาชนอเมริกัน ผ่านการค้าและการลงทุนในตลาดขนาดใหญ่ของยุโรป
อย่างไรก็ตาม คาดว่าข้อตกลงการค้าฉบับนี้อาจไม่สามารถสำเร็จลุล่วงได้ทันในสมัยของประธานาธิบดีโอบามา
(ผู้สื่อข่าว Pam Dockins รายงาน / ทรงพจน์ สุภาผล เรียบเรียง)