หลังต้องใช้เวลาอยู่ในเรือนจำของเมียนมาเป็นเวลาเกือบ 6 เดือน แดนนี เฟนสเตอร์ ผู้สื่อข่าวอเมริกัน ได้รับอิสระและเดินทางกลับถึงนครนิวยอร์กในวันอังคารตามเวลาท้องถิ่นแล้ว ท่ามกลางการต้อนรับพร้อมน้ำตาของสมาชิกในครอบครัว
การเดินทางกลับถึงบ้านเกิดของ เฟนสเตอร์ เกิดขึ้น หลังอดีตผู้สื่อข่าวของสำนักข่าวออนไลน์ ฟรอนเทียร์ เมียนมา (Frontier Myanmar) ได้รับการปล่อยตัวเมื่อวันจันทร์ และส่งมอบให้กับ บิล ริชาร์ดสัน อดีตทูตสหรัฐฯ ประจำสหประชาชาติ ซึ่งเป็นผู้เดินทางไปเจรจากับรัฐบาลทหารเมียนมาให้ปล่อยตัวชาวอเมริกันผู้นี้
เฟนสเตอร์ คือหนึ่งในผู้สื่อข่าวและผู้ที่เกี่ยวข้องในแวดวงสื่อกว่า 100 คน ที่ถูกกองทัพเมียนมาจับกุมตัวไป หลังก่อรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือนของนาง ออง ซาน ซู จี เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์
เฟนสเตอร์ ในสภาพผมเผ้าและหนวดเครารุงรัง บอกกับผู้สื่อข่าว หลังก้าวออกมาจากเครื่องบินที่สนามบินในนครนิวยอร์กว่า ความรู้สึกของตนที่ได้กลับมาบ้านเกิด “เป็นช่วงเวลาที่ตนจินตนาการเฝ้ารออย่างมากมาเป็นเวลานานแสนนานแล้ว” และว่า “เป็นความรู้สึกที่เกินกว่าที่จินตนาการไว้ทุกอย่าง” ด้วย
และเมื่อผู้สื่อข่าวชาวอเมริกันผู้นี้เดินทางถึงโรงแรมที่อยู่ติดกับสนามบิน โรส ซึ่งเป็นมารดาของเขาที่ยืนรอรับอยู่ ก็โผเข้ากอดบุตรชายพร้อมๆ กับบิดาและพี่ชายของเขาทันที
ในระหว่างรอเปลี่ยนเครื่องที่กาตาร์ ในช่วงดึกของวันจันทร์ที่ผ่านมา เฟนสเตอร์ บอกกับผู้สื่อข่าวว่า สภาพร่างการของตนนั้นปกติดี และไม่ได้มีปัญหาอดอาหารหรือถูกทุบตีใดๆ ระหว่างถูกควบคุมตัวในเมียนมาอยู่
ทั้งนี้ ในช่วงที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำของเมียนมา เฟนสเตอร์ เคยบอกกับทนายความว่า ตนอาจติดเชื้อโควิด-19 แต่เจ้าหน้าที่เรือนจำปฏิเสธคำกล่าวอ้างดังกล่าวไป
แดนนี เฟนสเตอร์ ถูกจับกุมเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม ที่สนามบินนานาชาติในนครย่างกุ้ง ขณะที่กำลังจะเดินทางกลับไปยังสหรัฐฯ และเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ศาลเมียนมาสั่งจำคุกเขาเป็นเวลา 11 ปี ในข้อหาแพร่กระจายข้อมูลเท็จและให้ร้าย ติดต่อสื่อสารกับองค์กรผิดกฎหมาย และฝ่าฝืนกฎเกี่ยวกับวีซ่า โดยก่อนหน้าที่ศาลจะมีคำพิพากษาดังกล่าวออกมา เฟนสเตอร์ ได้รับแจ้งว่า รัฐบาลทหารเมียนมาเพิ่งยื่นฟ้องตนเพิ่มเติม ซึ่งอาจทำให้ตนมีความเสี่ยงจะต้องถูกลงโทษจำคุกตลอดชีวิต
บิล ริชาร์ดสัน อดีตทูตสหรัฐฯ และอดีตผู้ว่าการรัฐนิวเม็กซิโก กล่าวว่า ตน “รู้สึกดีมากที่ได้เห็น แดนนี กลับถึงบ้าน ซึ่งทำให้ทุกอย่างที่ทุกคนช่วยกันทำคุ้มค่าจริงๆ”