สหรัฐฯ ออกแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการเตรียมพร้อมการรับมือการโจมตีเข้าใส่ฟิลิปปินส์ ในพื้นที่ทะเลจีนใต้ เพื่อช่วยให้ประเทศพันธมิตรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งนี้อุ่นใจเกี่ยวกับความช่วยเหลือทางทหาร หากสถานการณ์ความตึงเครียดกับจีนปะทุขึ้นมาเป็นการต่อสู้ ตามรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์
เอกสาร “แนะแนวทางปฏิบัติด้านกลาโหมในระดับทวิภาคี” ที่มีความยาว 6 หน้านี้ได้รับการเห็นชอบยอมรับที่กรุงวอชิงตันในวันพุธที่ผ่านมา หลังประธานาธิบดีเฟอรดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ ผลักดันให้กรุงวอชิงตันทำกับปรับปรุงอัพเดทสนธิสัญญาร่วมป้องกันประเทศของสหรัฐฯ และฟิลิปปินส์ ปี 1951 (1951 Mutual Defense Treaty) ระหว่างการเยือนสหรัฐฯ เมื่อต้นสัปดาห์นี้
รายงานข่าวระบุว่า เอกสารดังกล่าวเป็นการออกคำแนะแนวเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรกนับตั้งแต่สหรัฐฯ และฟิลิปปินส์ลงนามในสนธิสัญญาร่วมป้องกันประเทศ เมื่อราว 72 ปีก่อน และมีการจัดทำขึ้นมา หลังฟิลิปปินส์ทำการประท้วงผ่านช่องทางการทูตหลายครั้งในช่วงปีที่ผ่านมา ต่อสิ่งที่กรุงมะนิลาเรียกว่าเป็น การกระทำ “อันอุกอาจ” ของจีน และต่อภัยคุกคามของยามชายฝั่งของตนด้วย
ข้อมูลในเอกสารนี้ระบุว่า พันธกิจตามสนธิสัญญาระหว่างสหรัฐฯ และฟิลิปปินส์จะมีผลใช้งาน หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตกเป็นเป้าเฉพาะเจาะจงของการโจมตีในทะเลจีนใต้ และถ้าเรือยามชายฝั่งกลายมาเป็นเป้าถูกโจมตี
นอกจากนั้น ยังมีการเพิ่มเติมข้อมูลอ้างอิงเกี่ยวกับรูปแบบการทำสงครามยุคใหม่ ซึ่งรวมถึง กลยุทธ์สงครามสีเทา หรือ ปฏิบัติการในรูปแบบต่างๆ ตั้งแต่ ปฏิบัติการจิตวิทยา ไปจนถึง โฆษณาชวนเชื่อ และโดดเดี่ยวการทูต ที่มีผู้กล่าวหาจีนว่า เลือกดำเนินการเพื่อใช้อ้างอธิปไตยของตน แม้ว่า เอกสารนี้จะไม่มีการอ้างชื่อจีนเลยก็ตาม
รอมเมล ออง อดีตรองผู้บัญชาการกองทัพเรือฟิลิปปินส์และปัจจุบันเป็นอาจารย์ที่ Ateneo School of Government ในฟิลิปปินส์ ให้ความเห็นว่า เอกสารแนะแนวทางปฏิบัตินี้ส่ง “คำเตือน” ไปยังจีนไม่ให้พุ่งเป้าไปยังยามชายฝั่งฟิลิปปินส์ ขณะที่ ฮูลิโอ อามาดอร์ ประธานของ Foundation for the National Interest ซึ่งเป็นหน่วยงานคลังสมองที่ตั้งอยู่ในกรุงมะนิลา กล่าวว่า แนวทางด้านความมั่นคงทั้งหมดนี้น่าจะทำให้จีนต้องหยุดคิดบ้างแล้ว
ขณะเดียวกัน กระทรวงการต่างประเทศจีนกล่าวในวันพฤหัสบดีว่า ทางกระทรวงฯ คัดค้านการใช้สนธิสัญญาด้านกลาโหมในระดับทวิภาคีเพื่อมาแทรกแซงกิจการในทะเลจีนใต้ ซึ่ง “ไม่ควรกลายมาเป็นพื้นที่ล่าสัตว์สำหรับกองกำลังภายนอก”
- ที่มา: รอยเตอร์
