รัฐบาลสหรัฐฯ ยกระดับคำเตือนสำหรับบริษัทต่างๆ ที่ทำธุรกิจในมณฑลซินเจียงของจีน ที่อาจมีความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากสถานการณ์การบังคับใช้แรงงานและการละเมิดสิทธิมนุษยชนในเขตปกครองตนเองนี้
กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ออกคำแถลงในวันอังคารตามเวลาท้องถิ่น ที่ระบุว่า “เนื่องจากความรุนแรงและขอบข่ายของการละเมิดสิทธิ์ที่ว่านี้ ธุรกิจและบุคคลที่ยังเกี่ยวข้องกับห่วงโซ่อุปทาน การทำธุรกิจร่วมทุน และ/หรือมีการลงทุนในมณฑลซินเจียง อาจจะต้องรับความเสี่ยงในการละเมิดกฎหมายของสหรัฐฯ ได้”
ขณะเดียวกัน กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ และสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ยังร่วมกันออกคำเตือนที่มีการปรับปรุงเพิ่มเติมจากฉบับดั้งเดิมที่ประกาศออกมาเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ปี ค.ศ. 2020 โดยมีการระบุว่า บริษัทสัญชาติอเมริกันใดๆ ที่มีการทำธุรกิจ ซึ่งอาจเป็นไปในรูปแบบ “โดยอ้อม” กับ”เครือข่ายการสอดส่องดูแลที่กว้างขวางและขยายความครอบคลุมอย่างต่อเนื่อง” ของรัฐบาลจีน บริษัทดังกล่าวมีความเสี่ยงที่จะทำผิดกฎหมายสหรัฐฯ ได้ เช่นกัน
การปรับเปลี่ยนการใช้ภาษาในคำเตือนของหน่วยงานต่างๆ ของสหรัฐฯ ในครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่เมื่อวันศุกร์ที่แล้วที่ รัฐบาลของประธานาธิบดี โจ ไบเดน เพิ่มชื่อบริษัทและองค์กรสัญชาติจีน 14 แห่งเข้าไปอยู่ในรายชื่อบัญชีดำของผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าทำการละเมิดสิทธิมนุษยชน และทำการเฝ้าระวังตรวจตราด้วยระบบไฮเทค ในมณฑลซินเจียง ซึ่งเป็นที่อยู่ของชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมอุยกูร์
คำเตือนล่าสุดนี้ยังระบุด้วยว่า รัฐบาลจีนยังคงเดินหน้าทำการ “ละเมิดสิทธิ์อย่างทารุณ” ในมณฑลซินเจียง และพื้นที่อื่นๆ “ที่พุ่งเป้าไปยังชาวอุยกูร์ ชนพื้นเมืองคาซัค และชนพื้นเมืองคีร์กิซ ซึ่งส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม รวมทั้งสมาชิกชนพื้นเมืองและชนกลุ่มน้อยที่นับถือศาสนาอื่นๆ ด้วย”
ทั้งนี้ รัฐบาลจีนปฏิเสธข้อกล่าวหาว่าทำการละเมิดสิทธิ์ต่างๆ และกล่าวว่า ทางการได้จัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมอาชีพหลายแห่งในมณฑลซินเจียงเพื่อแก้ไขปัญหาลัทธิแนวคิดสุดโต่งทางศาสนาต่างหาก