การจัดทำข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน 10 ฉบับเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งรวมถึงข้อตกลงด้านสินค้าเกษตร บริการทางการเงิน การลงทุน และพลังงาน ได้ก่อให้เกิดเสียงวิจารณ์และเสียงสนับสนุนมากมาย โดยฝ่ายหนึ่งบอกว่าเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญด้านความร่วมมือของสองประเทศ ขณะที่อีกฝ่ายแย้งว่าข้อตกลงดังกล่าวมองข้ามความกังวลที่มีต่อตลาดในประเทศจีน
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผู้แทนด้านการค้าของจีนกับสหรัฐฯ ได้บรรลุข้อตกลงการค้าหลายฉบับ ซึ่งทางรัฐบาลกรุงวอชิงตันบอกว่าเป็น “ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่”
การจัดทำข้อตกลงที่ว่านี้คือส่วนหนึ่งของ “แผน 100 วัน” ที่เป็นผลมาจากการพบหารือระหว่าง ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ กับประธานาธิบดี สี จิ้น ผิง ที่รัฐฟลอริด้า เมื่อเดือนที่แล้ว โดยมีเป้าหมายลดยอดขาดดุลการค้าที่สหรัฐฯ มีกับจีน ซึ่งอยู่ที่ระดับ 347,000 ล้านดอลลาร์เมื่อปีที่แล้ว
รมต.พาณิชย์สหรัฐฯ Wilbur Ross กล่าวต่อผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาวว่า “ข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนครั้งนี้ ถือเป็นครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์การค้าระหว่างสองประเทศ”
รมต. Ross ระบุว่า ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว จีนจะเปิดตลาดรับสินค้าเนื้อวัวจากสหรัฐฯ ในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม ขณะที่สหรัฐฯ ก็จะอนุญาตให้เนื้อสัตว์ปีกแบบปรุงเสร็จแล้วเข้ามาขายในตลาดสหรัฐฯ เช่นกัน
ในด้านการเงิน สถาบันการเงินของสหรัฐฯ ที่มีสาขาในจีน จะได้รับอนุญาตให้เข้าสู่ตลาดการจัดอันดับเครดิตของจีน และบริการจ่ายเงินผ่านอุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์ ซึ่งเวลานี้มีบริษัท UnionPay ของจีนเป็นผู้ครองตลาด
อย่างไรก็ตาม บรรดานักวิเคราะห์ค่อนข้างมีความเห็นที่แตกต่างกันในเรื่องนี้
คุณ Robert Atkinson จากมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศและนวัตกรรม กล่าวว่า “ข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนครั้งนี้ จะมีผลให้จีนสามารถมีอิสระในการใช้เงินสดสำรองระหว่างประเทศปริมาณมหาศาล เพื่อซื้อบริษัทอเมริกัน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมสมัยใหม่ เช่นการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม”
ขณะที่คุณ Derek Scissors แห่งสถาบัน American Enterprise ชี้ว่า “ข้อตกลงการค้าครั้งใหม่นี้แทบไม่มีความหมายอะไร เพราะสิ่งที่จีนบอกว่าจะเปิดตลาดให้กับสินค้าจากสหรัฐฯ มากขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่จีนเคยสัญญามาแล้ว แต่ก็ไม่เคยนำมาปฏิบัติจริง ดังนั้นตนจึงไม่เชื่อว่ายอดขาดดุลการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ จะลดลงในปีนี้”
นักวิเคราะห์ผู้นี้แนะนำว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ควรมุ่งเน้นไปที่การเจรจาต่อรองให้จีนลดการอุดหนุนรัฐวิสาหกิจของจีนเองมากกว่า รวมทั้งการใช้มาตรการลงโทษต่อผู้ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาในประเทศจีน ซึ่งเชื่อว่าทั้งสองวิธีนี้จะช่วยให้บริษัทจากต่างชาติสามารถเข้าสู่ตลาดจีนได้มากขึ้น
แต่ในอีกด้านหนึ่ง อาจารย์ Christopher Balding แห่งมหาวิทยาลัยปักกิ่ง เชื่อว่าข้อตกลงการค้าล่าสุดระหว่างประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดในโลก 2 ประเทศนี้ แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าของรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของ ปธน.ทรัมป์ และเชื่อว่าหากนำไปใช้จริง จะช่วยลดยอดขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ที่มีต่อจีนได้
อย่างไรก็ตาม หากมองในทางการทูต อาจารย์ Christopher Balding เชื่อว่าเวลานี้สหรัฐฯ ไม่มีเครื่องมือที่จะสามารถกดดันให้จีนเปิดตลาดรับสินค้าจากอเมริกามากขึ้นได้
ในขณะที่คุณ C.Y. Huang แห่งบริษัทที่ปรึกษา FCC Partner มองในอีกมุมหนึ่งว่า
“แม้จีนจะเปิดตลาดรับสินค้าจากสหรัฐฯ มากขึ้น ก็ไม่ได้หมายความว่าอเมริกาจะได้เปรียบดุลการค้ากับจีนเพิ่มขึ้น เนื่องจากปัจจุบัน บริษัทอเมริกันหลายบริษัทไม่สามารถแข่งขันกับบริษัทจีนที่เป็นคู่แข่งในตลาดโลกได้อีกต่อไป”
(ผู้สื่อข่าว Joyce Huang รายงาน / ทรงพจน์ สุภาผล เรียบเรียง)