ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีน ดำดิ่งสู่ระดับต่ำสุดในรอบกว่า 40 ปี เมื่อเจ้าหน้าที่ทางการจีนเข้ายึดพื้นที่สถานกงสุลสหรัฐฯ ในนครเฉิงตู ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ ในเช้าวันจันทร์ตามเวลาท้องถิ่น หลังมีคำสั่งปิดเพื่อตอบโต้การที่รัฐบาลกรุงวอชิงตันสั่งปิดสถานกงสุลของตนในเมืองฮิวส์ตัน รัฐเท็กซัสเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
สำนักข่าว Associated Press รายงานว่า กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ออกแถลงการณ์ว่า “ผิดหวังต่อการตัดสินใจของพรรคคอมมิวนิสต์จีน” พร้อมระบุว่า สถานกงสุลสหรัฐฯ ในนครเฉิงตู เป็นศูนย์กลางของความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และประชาชนในตะวันตกของประเทศจีน ซึ่งรวมถึง ทิเบต เป็นเวลามานานถึง 35 ปีแล้ว
รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า กระทรวงการต่างประเทศจีนออกประกาศที่ระบุว่า “ส่วนราชการที่มีอำนาจหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย” ได้เข้าพื้นที่ทางประตูเข้าด้านหน้าและยึดพื้นที่ไว้ หลังเจ้าหน้าที่การทูตของสหรัฐฯ ปิดสถานกงสุลฯ เมื่อเวลา 10 นาฬิกา
ทางด้านสำนักข่าว รอยเตอร์ส รายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจนครเฉิงตูทำการปิดล้อมพื้นที่รอบสถานกงสุลสหรัฐฯ ก่อนที่เจ้าหน้าที่พร้อมอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล 4 นายจะเดินเข้าไปในสถานกงสุลเมื่อเวลา 10.24 น. โดยก่อนหน้านั้น สำนักข่าว CCTV ของทางการจีนเผยแพรวิดีโอคลิปการนำธงชาติสหรัฐฯ ภายในสถานกงสุลลงจากเสาเมื่อเวลา 6.18 น. ของวันจันทร์ ผ่านบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ เว่ยโป๋ (Weibo)
จีนระบุว่า เจ้าหน้าที่รักษากฎหมายสหรัฐฯ ได้บุกเข้าไปในพื้นที่ของสถานกงสุลจีนในรัฐเท็กซัสเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ก่อนที่กระทรวงการต่างประเทศจีนจะออกแถลงการณ์ในวันอาทิตย์ เพื่อประท้วงสิ่งที่เรียกว่า เป็นการละเมิดอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางการทูต และอนุสัญญาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางกงสุลระหว่างจีนและสหรัฐฯ
ทั้งนี้ รัฐบาลกรุงปักกิ่งประกาศสั่งปิดสถานกงสุลสหรัฐฯ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยให้เวลาสามวัน เช่นเดียวกับระยะเวลาที่สหรัฐฯ ให้จีนปิดสถานกงสุลที่ฮิวส์ตัน
เจ้าหน้าที่จีนให้เหตุผลว่าผู้ที่ทำงานในสถานกงสุลสหรัฐฯในเมืองดังกล่าวแทรกแซงการเมืองภายในของจีนและสร้างความเสียหายต่อความมั่นคงของจีน ส่วนกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ให้เหตุผลในการปิดสถานกงสุลจีนที่รัฐเท็กซัสว่า เพื่อปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐฯ และข้อมูลส่วนตัวของชาวอเมริกัน
ยุน ซุน นักวิจัยจากองค์กรด้านงานวิจัย Stimson Center ในกรุงวอชิงตัน กล่าวว่า การสั่งปิดสถานกงสุลเป็นสิ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนับตั้งแต่สหรัฐฯ และจีน เริ่มต้นความสัมพันธ์ทางการทูตมา และบอกกับ วีโอเอ ว่า “ในกรณีนี้ เห็นได้ชัดว่า ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองทรุดต่ำลงถึงระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้ว”
การตอบโต้ด้วยนโยบายทางการทูตระหว่างสองมหาอำนาจครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศที่ตกต่ำสู่ระดับต่ำสุดในรอบหลายทศวรรษ จากความขัดแย้งในหลายประเด็น ตั้งแต่เรื่องนโยบายการค้าและเทคโนโลยี ไปจนถึง ปัญหาการระบาดใหญ่ทั่วโลกของโควิด-19 และการที่จีนประกาศการเป็นเจ้าของพื้นที่ในทะเลจีนใต้ รวมทั้งการที่รัฐบาลจีนสั่งปราบปราบการประท้วงในฮ่องกง
ทั้งนี้ จีนยังคงมีสถานกงสุลอยู่ที่นครซานฟรานซิสโก นครลอสแอนเจลิส นครชิคาโก และนครนิวยอร์ก รวมทั้งสถานเอกอัครราชทูตในกรุงวอชิงตัน ขณะที่สหรัฐฯ มีสถานกงสุลในประเทศจีนและสถานเอกอัครราชทูตในกรุงปักกิ่ง
ขณะเดียวกัน เท็ด ครูซ วุฒิสมาชิกรัฐเท็กซัส จากพรรครีพับลิกัน และสมาชิกคณะกรรมาธิการด้านกิจการต่างประเทศของวุฒิสภาสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์ในรายการ Face The Nation ทางสถานี ซีบีเอส นิวส์ เมื่อวันอาทิตย์ว่า ยังมีโอกาสที่สถานกงสุลจีนแห่งอื่นๆ อาจจะถูกปิดได้ด้วย