ความเป็นมาของวัน Black Friday หรือวันศุกร์หลังวันของคุณพระเจ้า เริ่มขึ้นเมื่อเกือบ 70 ปีก่อน สมัยประธานาธิบดี Franklin D. Roosevelt ของสหรัฐฯ ที่ห้างร้านเริ่มเทศกาลกระตุ้นการจับจ่ายของขวัญวันศุกร์ปลายเดือนพฤศจิกายน
เทศกาลนี้กลายเป็นมหกรรมช็อปปิ้งยิ่งใหญ่แห่งปี และการลดราคาสินค้าเพื่อเพิ่มความต้องซื้อของผู้บริโภคการกลายเป็นยากระตุ้นเศรษฐกิจขนานเอกมาหลายยุคสมัย แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปพฤติกรรมผู้บริโภคก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย และความยิ่งใหญ่ของ Black Friday เริ่มเจือจางลง อย่างน้อยก็ในแง่การออกมาแย่งชิงสินค้าลดราคาที่ห้าง
ปีนี้ร้านค้าเช่น REI ที่ขายอุปกรณ์ตั้งแคมป์และการท่องเที่ยวกลางแจ้ง ยกเลิกมหกรรม Black Friday sales
ความตื่นตัวที่แผ่วลงเกิดขึ้นขณะที่ยอดขายของผู้ค้าปลีกช่วงเทศกาลวันของคุณพระเจ้าลดลงมาอยู่ที่ 5 หมื่น 1 พันล้านดอลลาร์ ปีที่แล้วเทียบกับความคึกคักระดับ 6 หมื่นล้านเมื่อ 3 ปีก่อน
สาเหตุที่ไม่คึกคักเหมือนก่อน น่าจะเกิดจากปัจจัยหลายประการ เช่น การเลื่อนเวลาเสนอสินค้าลดราคาให้เร็วขึ้นมาก่อน Black Friday อย่างที่เห็น ห้าง Target เริ่มลดกระหน่ำ 10 วันก่อน วันขอบคุณพระเจ้า หรือ Thanksgiving
หรือบางร้านเช่น Old Navy ผู้ผลิตเสื้อผ้า ขยายเวลาลดราคายาวนานกว่าเฉพาะวัน Black Friday โดย Old Navy จะเปิดร้าน 32 ชั่วโมงติดต่อกัน เริ่มตั้งแต่ 4 โมงเย็นวันพฤหัสบดี
ขณะเดียวกันพฤติกรรมการซื้อสินค้าปลีกให้เป็นของขวัญเปลี่ยนไปด้วย กล่าวคือคนจำนวนมากขึ้นหันไปซื้อแพ็คเกจท่องเที่ยวเป็นของขวัญ รวมทั้งตั๋วดูละครเวที หรือดูกีฬา และผลิตภัณฑ์ที่เป็นงานบริการอื่นๆมากกว่าสินค้าปลีกตามร้าน
แต่เหตุผลสำคัญกว่านั้นที่ทำให้คนออกมาซื้อของวัน Black Friday น้อยลง คือการซื้อของออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวัน Cyber Monday หรือวันจันทร์แรกหลัง Thanksgiving
หนังสือพิมพ์ New York Times สัมภาษณ์นักวิเคราะห์ Chris G. Christopher จากบริษัท IHS ซึ่งกล่าวว่า ยอดซื้อของออนไลน์ในสหรัฐฯ ช่วงวันหยุดปลายปีสำหรับปีนี้น่าจะโต เกือบ 12% จากปีก่อน
ส่วนตัวเลขคาดการณ์การโตของภาคค้าปลีกโดยรวมน่าจะอยู่เพียงราวๆ ร้อยละ 3.5 และรายได้จากการซื้อของออนไลน์น่าจะกินส่วนแบ่งสูงขึ้นเป็น ร้อยละ 14.7 ของค้าปลีกทั้งหมดช่วงวันหยุดปลายปีนี้
(รายงานจาก NY Times / รัตพล อ่อนสนิท เรียบเรียง)