คณะทำงานของรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ผ่อนปรนให้บริษัท ZTE ผู้ผลิตอุปกรณ์โทรคมนาคมรายใหญ่ของจีน ดำเนินธุรกิจบางส่วนได้ในสหรัฐฯแล้ว หลังจากมาตรการคว่ำบาตรครั้งใหญ่จากสหรัฐฯ
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ได้ยกเลิกการส่งออกชิ้นส่วนจากสหรัฐฯ ไปให้กับบริษัท ZTE เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา หลังจากพบว่าบริษัทละเมิดกฎการค้า เพราะฝ่าฝืนข้อห้ามในการควบคุมการค้าต่อเกาหลีเหนือและอิหร่าน
ผู้นำสหรัฐฯ ออกมากู้สถานการณ์ของบริษัท ZTE โดยให้เหตุผลว่ามาตรการคว่ำบาตรดังกล่าว ส่งผลกระทบต่อการจ้างงานในประเทศจีนอย่างมาก
ทั้งนี้ บริษัท ZTE ผู้ผลิตอุปกรณ์โทรคมนาคมรายใหญ่ของจีน ได้สั่งปลดผู้บริหารระดับสูงและเปลี่ยนคณะกรรมการของบริษัท รวมทั้งต้องจ่ายค่าปรับมูลค่า 1,000 ล้านดอลลาร์ และต้องวางเงินประกันเอาไว้อีก 400 ล้านดอลลาร์สำหรับค่าปรับเพิ่มเติมในอนาคต เพื่อให้เป็นไปตามข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ ในการดำเนินธุรกิจกับสหรัฐฯต่อไปได้
อีกด้านหนึ่ง สหรัฐฯเตรียมตั้งกำแพงภาษีกับสินค้านำเข้าจากจีนอีก 34,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันศุกร์ที่ 6 กรกฎาคมนี้ ซึ่งนักวิเคราะห์ต่างคาดว่ารัฐบาลจีนก็เตรียมตั้งมาตรการตอบโต้สหรัฐฯ สำหรับสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯในมูลค่าที่ทัดเทียมกัน
โดยนายเดวิด เวสเซิล นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส จาก Brookings Institution ออกมาเตือนว่า สงครามการค้าที่เกิดขึ้นจะนำไปสู่ต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งเกิดภาวะขาดแคลนสินค้าในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบทางภาษี ซึ่งนำไปสู่การจ้างงานและการลงทุนที่ล่าช้าหรือหยุดชะงักไปได้
เช่นเดียวกับ บทบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ Global Times ของรัฐบาลจีน ออกมาเตือนว่าเศรษฐกิจโลกใกล้เข้าสู่ความวุ่นวาย โดยยืนยันจากการที่สหรัฐฯ พยายามจะสร้างกฏการค้าโลกขึ้นมาใหม่ เพื่อให้สหรัฐฯ กลับมาเป็นประเทศผู้ได้เปรียบการค้าอีกครั้ง พยายามฟื้นฟูภาคอุตสาหกรรมการผลิตของประเทศให้กลับคืนมา และทำให้เทคโนโลยีของสหรัฐฯ เหนือกว่านานาชาติ กีดกันคู่แข่งขัน และรักษาอำนาจทางการทหารให้แข็งแกร่งกว่านานาชาติ โดยไม่สนใจประเทศอื่น