สหรัฐฯ และอีก 5 ประเทศ กล่าวในวันอังคารว่า กำลังเตรียมแผนนำน้ำมันสำรองทางยุทธศาสตร์มาใช้เพื่อลดปัญหาราคาน้ำมันแพงในขณะนี้
ทำเนียบขาวระบุว่า ตั้งแต่เดือนธันวาคมจนถึงเดือนเมษายนปีหน้า สหรัฐฯ จะนำน้ำมันดิบสำรองปริมาณ 50 ล้านบาร์เรล จากที่มีอยู่ในคลังปิโตรเลียมสำรองทางยุทธศาสตร์ทั้งหมด 621 ล้านบาร์เรล ออกขายให้กับโรงกลั่นน้ำมันต่าง ๆ
ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ดังกล่าว รัฐบาลสหรัฐฯ จะเริ่มแลกเปลี่ยนน้ำมันสำรองปริมาณ 32 ล้านบาร์เรลในเดือนหน้า กับผู้ซื้อที่ตกลงว่าจะส่งน้ำมันดิบในปริมาณเท่ากันคืนให้กับรัฐบาลระหว่างปี ค.ศ. 2022 - 2024 ส่วนอีก 18 ล้านบาร์เรลจะนำออกขายโดยตรงให้กับโรงกลั่น
อย่างไรก็ตาม คาดว่าเฉพาะน้ำมันดิบสำรองดังกล่าวที่สหรัฐฯ เตรียมนำออกมาใช้นั้น อาจไม่เพียงพอที่จะฉุดราคาน้ำมันที่ประชาชนอเมริกันต้องจ่ายในขณะนี้ที่ระดับ 3.40 ดอลลาร์ต่อ 1 แกลลอน (0.89 ดอลลาร์/ 1 ลิตร) ลงได้
แต่หากรวมกับปริมาณน้ำมันดิบสำรองที่อีก 5 ประเทศ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย และอังกฤษ เตรียมนำออกมาใช้ด้วยนั้น ก็อาจทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลงได้เช่นกัน แม้ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าทั้ง 5 ประเทศนั้นจะนำน้ำมันดิบสำรองออกมาใช้มากน้อยแค่ไหนก็ตาม
ถึงกระนั้น กลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันในตะวันออกกลาง นำโดยสมาชิกกลุ่มโอเปก (Organization of the Petroleum Exporting Countries) 13 ประเทศ อาจใช้วิธีลดปริมาณการผลิตน้ำมันเพื่อชดเชยส่วนที่เพิ่มขึ้นจากทั้ง 6 ประเทศดังกล่าว เพื่อให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกคงอยู่ที่ระดับสูงเช่นนี้ต่อไป
ขณะเดียวกัน ราคาเชื้อเพลิงที่แพงขึ้นในช่วงฤดูหนาวในสหรัฐฯ นี้ ส่งผลให้เกิดเงินเฟ้อในดัชนีผู้บริโภคอเมริกันในระดับสูงสุดในรอบ 31 ปี ที่ 6.2% ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยรัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน ยังอาจใช้วิธีแทรกแซงราคาในตลาดเชื้อเพลิงเพื่อทำให้ราคาต่ำลง