ลิ้งค์เชื่อมต่อ

งานวิจัยชี้ 'คนไม่ฟิต' มีความเสี่ยงเสียชีวิตกว่าผู้ป่วยเบาหวานและคนสูบบุหรี่


Gym members use as treadmill to warm up for a morning exercise class at Downsize Fitness, in Addison, Texas, Jan. 3, 2013.
Gym members use as treadmill to warm up for a morning exercise class at Downsize Fitness, in Addison, Texas, Jan. 3, 2013.

เราทราบกันดีว่า การออกกำลังกายช่วยให้ชีวิตยืนยาวขึ้นได้ แต่งานวิจัยชิ้นใหม่จาก Cleveland Clinic ในสหรัฐฯ ไปไกลกว่านั้น โดยค้นพบว่า ‘การไม่ออกกำลังกาย’ อาจให้ผลร้ายมากกว่าการสูบบุหรี่ หรือเป็นโรคเบาหวานและโรคหัวใจเสียอีก

การวิจัยเรื่องผลของการ “ไม่ออกกำลังกาย” จัดทำขึ้นโดยนักวิจัยที่โรงพยาบาล Cleveland Clinic ในรัฐโอไฮโอ โดยใช้กลุ่มตัวอย่าง 122,000 คน ซึ่งเป็นผู้ป่วยที่มาใช้บริการลู่วิ่งออกกำลังกายที่โรงพยาบาลดังกล่าว ระหว่างปี ค.ศ. 1991 ถึง 2014

นักวิจัยได้เก็บข้อมูลเกี่ยวกับอาการเจ็บป่วยต่างๆ รวมทั้งอัตราและสาเหตุของการเสียชีวิตของผู้ป่วยบางส่วน เพื่อนำมาเปรียบเทียบกับข้อมูลการออกกำลังกายของผู้ป่วยเหล่านั้น

โดยสิ่งที่ทำให้งานวิจัยชิ้นนี้แตกต่างจากรายงานชิ้นอื่นๆ คือ นักวิจัยใช้ข้อมูลจริงจากการทดสอบสมรรถภาพทางร่างกายของกลุ่มตัวอย่างจริงๆ นั่นคือการให้วิ่งบนสายพานหรือลู่วิ่งเทรดมิลล์ ซึ่งไม่ใช่การให้กลุ่มตัวอย่างกรอกข้อมูลด้วยตัวเอง

ในผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ในสารวาร JAMA Network Open เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นายแพทย์วาเอล แจเบอร์ (Dr.Wael Jaber) ผู้ร่วมจัดทำรายงาน ระบุว่า “ผู้ที่ไม่ออกกำลังกาย หรือมีสภาพร่างกายที่ไม่ฟิต มีโอกาสเสียชีวิตเทียบเท่าหรือมากกว่าผู้ที่สูบบุหรี่ หรือผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง หรือโรคเบาหวาน เสียอีก”

รายงานยังพบด้วยว่า ผู้ที่ขาดการออกกำลังกายสม่ำเสมอ หรือ ‘ไม่ฟิต’ มีโอกาสเสียชีวิตมากกว่าผู้ป่วยโรคไตถึง 2 เท่า และความเสี่ยงนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่าเมื่อเทียบกับผู้ที่สูบบุหรี่

และหากเทียบกับกลุ่มตัวอย่างที่ออกกำลังกายเป็นประจำมากที่สุดแล้ว พบว่า ผู้ที่ไม่ออกกำลังกายมีความเสี่ยงในการเสียชีวิตสูงกว่าถึง 5 เท่า

ที่สำคัญ ความเสี่ยงที่ว่านี้มิได้จำกัดอยู่กับอายุหรือเพศ นั่นหมายความว่า ทุกเพศทุกวัยสามารถได้รับประโยชน์จากการออกกำลังกายได้เท่าเทียมกัน

รายงานยังบอกด้วยว่า การออกกำลังกายในทุกระดับสามารถช่วยลดอัตราการเสียชีวิตได้ โดยไม่มีข้อจำกัดว่าหากออกกำลังกายหนักเกินไปอาจเป็นผลร้ายมากกว่าผลดี

ด้านนายแพทย์จอร์แดน เม็ตซ์ล (Dr.Jordan Metzl) แห่งฝ่ายเวชศาสตร์การกีฬาของโรงพยาบาลแห่งนี้ ชี้ว่า “โรคเบาหวานและโรคหัวใจ ถือว่าเป็นโรคที่มีค่าใช้จ่ายมากที่สุด ในแต่ละปีต้นทุนค่าใช้จ่ายสำหรับการรักษาสองโรคนี้เฉพาะในสหรัฐฯ สูงถึง 200,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งการกระตุ้นให้ผู้ป่วยและคนทั่วไปออกกำลังกายมากขึ้น จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ได้มหาศาล”

นักวิจัยระบุส่งท้ายว่า “การขาดการออกกำลังกายนั้น ควรถูกระบุว่าคล้ายอาการเจ็บป่วยอย่างหนึ่ง ซึ่งต้องการใบสั่งยาจากแพทย์ ก็คือคำสั่งให้ไปออกกำลังกายนั้นเอง”

(ทรงพจน์ สุภาผล รายงานจาก CNN)

XS
SM
MD
LG