ผู้แทนพิเศษขององค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เรียกร้องให้รัฐบาลไทยร่วมสนับสนุนแผนหยุดยั้งภาวะวิกฤตที่รุนแรงหนักในเมียนมา พร้อมแสดงความยินดีที่ไทยให้การรับประกันว่า จะปกป้องผู้ลี้ภัยที่อพยพหนีปฏิบัติการทางทหารของกองทัพเมียนมาเข้ามายังฝั่งไทย ตามรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์
โนลีน เฮย์เซอร์ ผู้แทนพิเศษของเลขาธิการใหญ่ยูเอ็น เข้าพบนายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในวันจันทร์ เพื่อขอแรงสนับสนุนความพยายามช่วยเหลือผู้พลัดถิ่นจากเมียนมา รวมทั้งร่วมกดดันรัฐบาลทหารเมียนมาให้ยอมปฏิบัติตามแผนสันติภาพ 5 ข้อที่สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ยื่นเสนอไปก่อนหน้านี้
เฮย์เซอร์ ระบุในแถลงการณ์ว่า นายกรัฐมนตรี ประยุทธ์ นั้นมีบทบาทสำคัญในการป้องกันภาวะวิกฤตในเมียนมาไม่ให้เลวร้ายลงกว่าที่เป็นอยู่ ในขณะที่ สถานการณ์ที่รุนแรงขึ้นนั้นมีแต่จะสั่นคลอนเสถียรภาพความมั่นคงในบริเวณชายแดนระหว่างทั้งสองประเทศ
รายงานข่าวระบุว่า กองทัพเมียนมานั้นมีสายสัมพันธ์สนิทสนมกับไทยเสมอมา ซึ่งผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า มีข้อพิสูจน์จากการวิพากษ์วิจารณ์เมียนมาของรัฐบาลไทยที่ไม่เกิดขึ้นบ่อย ขณะที่ ฝั่งทางการไทยเองก็มีความกังวลเกี่ยวกับการทะลักเข้ามาในประเทศของกลุ่มผู้ลี้ภัย หากกองทัพเมียนมายกระดับปฏิบัติการของตนต่อฝ่ายที่อยู่ตรงกันข้ามขึ้นมา
นับตั้งแต่เกิดเหตุปะทะรุนแรงแถบชายแดน หลังการก่อรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือนเมียนมาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ของปีที่แล้ว ชาวเมียนมาหลายพันคนได้หลบหนีข้ามแดนมายังประเทศไทย โดยข้อมูลอย่างเป็นทางการระบุว่า มีผู้ลี้ภัยกว่า 1,300 คนที่ยังอาศัยอยู่ในค่ายลี้ภัยในไทยเวลานี้
ขณะเดียวกัน พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา กล่าวว่า ปัญหาของเมียนมานั้นมีความซับซ้อนมากอยู่ และสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นควรจะได้รับการแก้ไขผ่าน “กระบวนการทำความเข้าใจอย่างค่อยเป็นค่อยไป และการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้กับผู้นำเมียนมา”
นอกจากนั้น นายกรัฐมนตรีไทยยังได้แจ้งต่อผู้แทนพิเศษยูเอ็นว่า ประเทศไทยนั้นมี “พื้นที่เพื่อโครงการด้านมนุษยธรรม” อยู่ และไทยจะดำเนินการส่งตัวผู้ลี้ภัยกลับเฉพาะเมื่อเจ้าตัวยินยอมเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม รอยเตอร์ รายงานว่า องค์กรระหว่างประเทศจำนวนมากร้องเรียนว่า ตัวแทนของตนไม่สามารถเข้าถึงพื้นที่ที่ผู้นำรัฐบาลไทยพูดถึงได้เลย ขณะที่ รัชดา ธนาดิเรก โฆษกรัฐบาลไทย ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ และกล่าวเพียงว่า รัฐบาลไทยนั้นให้ความช่วยเหลือต่อผู้เดือดร้อน ภายใต้หลักกการด้านมนุษยธรรมระหว่างประเทศ
