หน่วยงานด้านผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ขององค์การสหประชาชาติ เปิดเผยในวันอังคารว่า มีการประเมินว่า ประชาชนเกือบ 450,000 คนต้องกลายมาเป็นคนพลัดถิ่นด้วยการถูกบังคับให้เดินทางออกจากเมืองราฟาห์ ทางใต้ของกาซ่าในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ กองทัพอิสราเอลเดินหน้ารุกคืบเข้ามาในพื้นที่ดังกล่าว
ประชากรกว่าครึ่งหนึ่งของฉนวนกาซ่าได้ใช้เมืองราฟาห์เป็นพื้นที่หลบภัย หลังสงครามอิสราเอล-ฮามาสปะทุขึ้นมาเมื่อต้นเดือนตุลาคมของปีที่แล้ว
สำนักงานบรรเทาทุกข์และจัดหางานแห่งสหประชาชาติ สำหรับผู้ลี้ภัยปาเลสไตน์ในตะวันออกใกล้ (UNRWA) กล่าวว่า “ผู้คนเผชิญกับความเหนื่อยยาก ความหิวโหยและความกลัวไม่หยุดหย่อน ไม่มีที่ไหนปลอดภัยแล้ว” และว่า “การหยุดยิงทันทีคือ ความหวังเดียว”
สหรัฐฯ องค์การสหประชาชาติและประเทศอื่น ๆ ได้เรียกร้องให้อิสราเอลหลีกเลี่ยงปฏิบัติการจู่โจมเชิงรุกเต็มรูปแบบเข้าใส่เมืองราฟาห์มาตลอด พร้อมเตือนว่า อาจเกิดหายนะด้านมนุษยธรรมที่นั่นได้ แต่ผู้นำอิสราเอลต่างกล่าวว่า ราฟาห์ คือ ที่มั่นสุดท้ายของกลุ่มติดอาวุธฮามาส และการจู่โจมรุกเข้าไปนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการกำจัดกลุ่มฮามาสในกาซ่าที่เป็นภัยคุกคามให้สิ้นซาก
คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) ประกาศในวันอังคารว่า ได้มีการเปิดโรงพยาบาลขนาด 60 เตียงขึ้นในราฟาห์แล้ว
ICRC กล่าวว่า โรงพยาบาลแห่งนี้จะให้บริการผ่าตัดฉุกเฉิน บริการด้านสูตินรีเวช บริการด้านกุมารเวช และบริการผู้ป่วยนอกให้กับคนไข้ราว 200 คนต่อวัน
คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ ยังระบุในแถลงการณ์ด้วยว่า “ด้วยความจำเป็นด้านการรักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้นทุกวันในกาซ่า ICRC ขอยืนยันคำร้องขอของเราให้มีการปกป้องพื้นที่การแพทย์ภายใต้กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ” และว่า “ไม่มีคนไข้คนใดควรถูกสังหารระหว่างนอน(รักษาตัว)อยู่บนเตียงของโรงพยาบาล ไม่มีแพทย์ พยาบาล หรือเจ้าหน้าที่ด้านการแพทย์คนใด ควรเสียชีวิตระหว่างทำหน้าที่ช่วยชีวิตคน”
ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเข้าไปในกาซ่าลดลงเรื่อย ๆ เนื่องจาก จุดผ่านแดนหลัก 2 จุดใกล้ราฟาห์ยังคงปิดอยู่ในวันจันทร์ และเจ้าหน้าที่จากองค์กรความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมประสบปัญหาในการแจกจ่ายเสบียงความช่วยเหลือและอาหารที่มีน้อยลงเรื่อย ๆ ให้กับชาวปาเลสไตน์ผู้พลัดถิ่นจำนวนหลายแสนคน
ฟาร์ฮาน ฮัค รองโฆษกยูเอ็น กล่าวระหว่างการแถลงข่าวในวันจันทร์ว่า การแจกจ่ายความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในพื้นที่เขตปกครองของปาเลสไตน์ได้หยุดลงแล้ว
ฮัค กล่าวว่า “ไม่มีการขนส่งสิ่งของความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมข้ามจุดผ่านแดนราฟาห์ที่ปิดอยู่เลย” และว่า “ยังคงไม่มีช่องทางที่ใช้งานได้ในแง่โลจิสติกส์และปลอดภัยด้วยไปยังจุดผ่านแดน เคเรม ชาลอม อยู่ เรากำลังพยายามส่งของต่าง ๆ เข้าไป โดยใช้จุดผ่านแดนเอเรซด้วย แต่ปริมาณสิ่งของที่ส่งผ่านเข้าไปในอยู่ในระดับน้อยมาก ๆ ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา”
รองโฆษกยูเอ็น กล่าวเสริมว่า “ณ จุดนี้ เรากำลังปันส่วนเชื้อเพลิงอยู่... เราเหลือเชื้อเพลิงในมือน้อยมาก ๆ”
นอกจากนั้น ฮาค ยังประกาศด้วยว่า สมาชิกรายหนึ่งของหน่วยงานด้านความปลอดภัยของยูเอ็น (United Nations Department of Safety and Security - DSS) เสียชีวิตลงและอีกรายได้รับบาดเจ็บ ขณะที่ รถที่ทั้งสองใช้เดินทางไปยังโรงพยาบาล European Hospital of Gaza ถูกโจมตีในวันจันทร์ พร้อมกล่าวว่า “เลขาธิการ(ยูเอ็น) ประณามการโจมตีทั้งหมดต่อบุคลากรของยูเอ็น และขอให้มีการสอบสวนเต็มรูปแบบแล้ว และได้แสดงความเสียใจต่อครอบครัวของเจ้าหน้าที่ที่เสียชีวิตลงด้วย”
จุดยืนของสหรัฐฯ
เจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติประจำทำเนียบขาว กล่าวระหว่างการแถลงข่าวที่ทำเนียบขาวในวันจันทร์ ว่า รัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน ไม่ได้มองว่า การสังหารชาวปาเลสไตน์ในกาซ่าโดยกองทัพอิสราเอลในสงครามกับกลุ่มฮามาสนั้นเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เลย
ซัลลิแวน กล่าวว่า “เราไม่เชื่อว่า สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในกาซ่านั้นเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เรามั่นใจในบันทึกข้อมูลที่ปฏิเสธคำกล่าวที่ว่านี้”
ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติประจำทำเนียบขาว กล่าวด้วยว่า สหรัฐฯ ต้องการเห็นกลุ่มฮามาสถูกกำราบ แต่ก็ยอมรับว่า ชาวปาเลสไตน์ที่ตกเป็นเหยื่อควันหลงของสงครามนี้ “ตกนรกอยู่” และว่า ปฏิบัติการทางทหารส่วนใหญ่ของอิสราเอลในราฟาห์นั้นเป็นความผิดพลาด
สงครามนี้เริ่มต้นจากการที่กลุ่มฮามาสโจมตีแบบสายฟ้าแลบเข้าใส่อิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม และส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตราว 1,200 คน รวมทั้งการจับตัวประกันประมาณ 250 คนไป ตามการประเมินของเจ้าหน้าที่อิสราเอล และการโจมตีโต้กลับของอิสราเอลในกาซ่าก็ส่งผลให้ชาวปาเลสไตน์กว่า 35,100 คนเสียชีวิต อ้างอิงข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขกาซ่า โดยตัวเลขนี้รวมความถึงทั้งพลเรือนและนักรบฮามาส ขณะที่ มีการระบุว่า ส่วนใหญ่เป็นสตรีและเด็ก
- ข้อมูลบางส่วนมาจากเอพี เอเอฟพี และรอยเตอร์
กระดานความเห็น