รมต.ต่างประเทศจีน หวัง อี้ กล่าวต่อ รมต.ต่างประเทศของเกาหลีเหนือ รี ยง โฮ ระหว่างการประชุมนอกรอบของการประชุมระดับรัฐมนตรีของสมาคมอาเซียนที่กรุงมะนิลา ฟิลิปปินส์ โดยบอกว่า กรุงเปียงยางไม่ควรละเมิดหรือทำลายความหวังดีของประชาคมโลก
คำกล่าวของจีนมีขึ้นหลังจากที่คณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติมีมติเป็นเอกฉันทน์ ให้ผ่านมาตรการลงโทษชุดใหม่ต่อเกาหลีเหนือ โดยมุ่งลดรายได้ของรัฐบาลเปียงยางลง 1,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี ผ่านการคว่ำบาตรอุตสาหกรรมหลัก 4 อย่างของเกาหลีเหนือ คือ ถ่านหิน เหล็ก ตะกั่ว และอาหารทะเล ที่สร้างรายได้ให้เกาหลีเหนือราว 3,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี
มาตรการดังกล่าวมีขึ้นเพื่อตอบโต้ที่เกาหลีเหนือทดสอบขีปนาวุธแบบข้ามทวีป 2 ครั้งในเดือนที่แล้ว คือวันที่ 3 และ 28 ก.ค.
ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ทวีตข้อความแสดงความยินดีที่สหรัฐฯ และรัสเซีย ร่วมจับมือใช้มาตรการลงโทษต่อเกาหลีเหนือ ขณะที่ทูตสหรัฐฯ ประจำสหประชาชาติ นิกกี้ เฮลลีย์ กล่าวว่า สหรัฐฯ จะยังคงใช้แรงกดดันทางการทูตต่อเกาหลีเหนือเพื่อยุติพฤติกรรมที่ก้าวร้าวยั่วยุของเกาหลีเหนือ
ขณะเดียวกัน รมต.ต่างประเทศสหรัฐฯ เร็กซ์ ทิลเลอร์สัน ที่ร่วมประชุม ASEAN Regional Forum (ARF) ที่ฟิลิปปินส์ กล่าวยินดีที่คณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติมีมติเป็นเอกฉันทน์ให้ผ่านมาตรการลงโทษชุดใหม่ต่อเกาหลีเหนือ และแสดงความยินดีต่อท่าทีล่าสุดของจีนในการกดดันเกาหลีเหนือด้วย
บรรดาภาคีชาติอาเซียนที่ร่วมประชุม ARF ยังได้มีคำแถลงแสดงความวิตกต่อความตึงเครียดบนคาบสมุทรเกาหลี และขอให้เกาหลีเหนือปฏิบัติตามข้อกำหนดของคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ และยุติโครงการพัฒนานิวเคลียร์ทันที
นักวิเคราะบางคนให้ความเห็นว่า คำแถลงดังกล่าวของอาเซียนเป็นผลมาจากแรงกดดันของสหรัฐฯ ที่ส่งผ่าน รมต.ทิลเลอร์สัน มายังการประชุมครั้งนี้ และส่วนหนึ่งก็ถือเป็นผลประโยชน์ของอาเซียนเองด้วย
ปัจจุบัน ภาคีอาเซียน 10 ประเทศ ให้การยอมรับสถานะการทูตของเกาหลีเหนือ และเกาหลีเหนือมีสถานทูตอยู่ใน 8 จาก 10 ประเทศนี้ ซึ่งถือเป็นช่องทางทำรายได้ให้กับรัฐบาลเกาหลีเหนือทางหนึ่ง
นักวิเคราะห์ ฌอน คิง ของสถาบันที่ปรึกษาทางการเมือง Park Strategies กล่าวว่า นอกจากสถานทูตเกาหลีเหนือใน 8 ประเทศเหล่านั้น จะทำธุรกิจที่ถูกต้องตามกฎหมายส่วนหนึ่ง เช่น การขายโสม และธุรกิจร้านอาหาร ยังเชื่อว่ามีการทำธุรกิจที่ผิดกฎหมาย เช่น การลักลอบค้าของเถื่อน