กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เผยรายงานประจำปีเรื่องสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศต่างๆ โดยระบุว่า เวเนซูเอลา, อิหร่าน และ จีน ยังคงมีปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง
เวเนซูเอลา
รายงาน “Country Reports on Human Rights Practices" สำหรับปี ค.ศ. 2018 ที่ผ่านมา ระบุว่า รัฐบาลเวเนซูเอลาใช้การวิสามัญฆาตกรรมฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง ปิดกั้นการแสดงความเห็นของประชาชน และควบคุมการมีส่วนร่วมต่างๆ ทางการเมือง รวมทั้งมีการเลือกตั้งที่ถูกกล่าวหาว่าไม่โปร่งใส นำไปสู่ชัยชนะของประธานาธิบดี นิโคลาส มาดูโร เมื่อปีที่แล้ว
รายงานชิ้นนี้ยังระบุถึงปัญหาการคอร์รัปชั่นในรัฐบาลและกองทัพเวเนซูเอลา ที่เป็นส่วนหนึ่งซึ่งทำให้ประชาชนจำนวนมากอดอยากอยู่ในขณะนี้ ตลอดจนการลักลอบค้ามนุษย์ และการใช้แรงงานเด็ก
อิหร่าน
ในส่วนของอิหร่าน รายงานของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า ประวัติด้านสิทธิมนุษชนของรัฐบาลกรุงเตหะรานยังคงอยู่ในระดับต่ำ และย่ำแย่ลงในหลายด้าน
รายงานได้กล่าวถึงกรณีการจับกุมสตรีชาวอิหร่าน Nasrin Sotoudeh ผู้นำการเรียกร้องให้สตรีไม่ต้องสวมผ้าคลุมศีรษะตลอดเวลาในที่สาธารณะ เธอถูกจับกุมเมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว ถูกลงโทษด้วยการเฆี่ยน 148 ครั้ง และจำคุก 38 ปี
นอกจากนี้ รัฐบาลอิหร่านยังใช้วิธีปราบปรามผู้เห็นต่างทางการเมือง และปิดกั้นการแสดงความเห็นของประชาชนในสื่อต่างๆ โดยเฉพาะอินเทอร์เน็ต เช่นกัน
จีน
รายงาน “Country Reports on Human Rights Practices" ชี้ว่า รัฐบาลจีนได้เพิ่มความเข้มข้นในการปราบปรามกลุ่มมุสลิมชาวอวีเกอร์ ในแถบมณฑลซินเจียง โดยมีการกักตัวชาวอวีเกอร์ และชาวมุสลิมกลุ่มอื่นๆ ไว้ในค่ายกักกันต่างๆ ไปแล้วกว่า 2 ล้านคน
นอกจากนี้ รัฐบาลจีนยังคงปราบปรามผู้สื่อข่าว ทนายความ และผู้ที่อยู่ตรงข้ามทางการเมือง รวมทั้งจำกัดเสรีภาพทางศาสนาและการแสดงความคิดเห็นด้วย
รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ไมค์ พอมเพโอ กล่าวว่า เวลานี้รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังพิจารณามาตรการลงโทษจีน สืบเนื่องจากกรณีการปราบปรามกลุ่มมุสลิมชาวอวีเกอร์ ในแถบมณฑลซินเจียงด้วย