ในยุคการบริหารของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ผ่านพ้นไปเกือบ 20 เดือนแรก เราได้เห็นปรากฏการณ์ของหนังสือที่กล่าวถึงเรื่องราวในทำเนียบขาวและบทบาทของประธานาธิบดีทรัมป์มามากมายหลายเล่ม
แต่ในวันที่ 11 กันยายนนี้ จะมีหนังสือเล่มใหม่ที่ต้องติดตาม จากผลงานเขียนของบ๊อบ วู้ดเวิร์ด นักข่าวเชิงสืบสวนสอบสวนผู้มีชื่อเสียงจาก Washington Post ที่มีบทบาทสำคัญในการรายงานคดีวอเตอร์เกต ในยุคของอดีตประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน
หนังสือ Fear: Trump in the White House ความยาว 448 หน้า จากปลายปากกาของ บ๊อบ วู้ดวาร์ด นักเขียนและนักข่าวเชิงสืบสวนรุ่นลายครามจาก Washington Post ผู้ร่วมรับรางวัลพูลิตเซอร์ เมื่อปี 1973 ผู้มีบทบาทสำคัญในการนำเสนอข่าวคดีวอเตอร์เกต ในยุคของอดีตประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน กลับมาสร้างแรงกระเพื่อมทางการเมืองอีกครั้งกับสไตล์การเขียนแนวสืบสวนสอบสวนเล่มล่าสุด ที่เตรียมวางขายในวันที่ 11 กันยายนนี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาเพียงไม่กี่เดือนก่อนการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ
ความน่าสนใจของหนังสือเล่มนี้ นำข้อมูลเชิงลึกจากการสัมภาษณ์บุคคลใกล้ชิดประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่อยู่ในคณะทำงานของทำเนียบขาวหลายสิบคน กินเวลายาวนานหลายร้อยชั่วโมง และเอกสารข้อมูลการประชุมระดับลับสุดยอดในทำเนียบขาวจำนวนมาก ซึ่งเปิดเผยว่า ผู้นำสหรัฐฯนั้น เพิกเฉยต่อกิจการของโลกมาตลอด และว่าตอนนี้คณะทำงานของทรัมป์กำลัง “ก่อกบฏในการบริหาร” ปัญหาความขัดแย้งภายใน และอยู่ในภาวะ “ประสาทเสีย” มาตลอด 20 เดือนที่ผ่านมา
บางช่วงบางตอนของหนังสือ Fear: Trump in the White House เน้นถึงคำพูดของบุคคลใกล้ชิดของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่หลายคนคุ้นหูคุ้นตากันดี อย่างหัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว จอห์น เคลลี (John Kelly) ที่เรียกผู้นำสหรัฐฯว่า “unhinged” หรือ “เสียสติ” และยังบอกกลางที่ประชุมคณะทำงานในทำเนียบขาวว่า ประธานาธิบดีทรัมป์นั้น “โง่เขลา” จึงไม่มีประโยชน์ที่จะเกลี้ยกล่อมผู้นำสหรัฐฯให้ทำอะไร เพราะตอนนี้ประธานาธิบดีทรัมป์นั้นเกินว่าจะควบคุมได้ และเรากำลังตกอยู่ในสภาวะเมืองคนวิปลาส หรือ Crazytown
ยิ่งไปกว่านั้น พลเอกเคลลี ยังแสดงความไม่พอใจถึงการดำรงตำแหน่งหัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว ว่าเป็นงานที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่เคยทำมา อย่างไรก็ตาม พลเอกเคลลีได้แถลงปฏิเสธในเรื่องนี้
ถัดมาอีกคนที่ปรากฏในหนังสือเล่มนี้ คือ พลเอกจิม แมททิส (Jim Mattis) รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ที่กล่าวว่าผู้นำสหรัฐฯ มีความสามารถในการเข้าใจเรื่องราวต่างๆ เทียบเท่า “เด็ก ป.5 ป.6” เท่านั้น และว่าผู้นำสหรัฐฯ เคยต่อสายตรงถึงพลเอกแมททิส ว่าต้องการลอบสังหารประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด (Bashar al-Assad) แห่งซีเรีย ซึ่งพลเอกแมททิสถึงกับบอกกับผู้ช่วยของเขาหลังวางสายจากประธานาธิบดีว่า เราจะไม่ทำเช่นนั้นแน่ๆ
นอกจากนี้ ยังมีอดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงประจำทำเนียบขาว อย่างนายแกรี โคห์น (Gary Cohn) ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาว และนายร๊อบ พอร์เตอร์ (Rob Porter) อดีตเลขานุการทำเนียบขาว ที่บอกว่าพวกเขาเคยสลับเอกสารจากโต๊ะของประธานาธิบดี เพื่อป้องกันไม่ให้ประธานาธิบดีทรัมป์เซนต์เอกสารสำคัญ เพื่อหวังปกป้องประเทศ
ทั้งนี้ นายวู้ดวาร์ด มองว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ให้น้ำหนักเรื่องความมั่นคงของประเทศในเรื่องของการแก้ปัญหาการขาดดุลการค้าและงบประมาณด้านการทหารของสหรัฐฯ ในต่างประเทศ และโดนัลด์ ทรัมป์ ตั้งคำถามถึงการที่สหรัฐฯ ต้องทุ่มงบประมาณมหาศาลในการคงกำลังสหรัฐฯ ในเกาหลีใต้ ซึ่งนายพลแมททิสได้บอกประธานาธิบดีสหรัฐฯว่า การทำแบบนี้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3
แต่อีกด้านหนึ่ง ในหนังสือของ บ๊อบ วู้ดวาร์ด ยังหยิบยกความกังวลของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง เกี่ยวกับการที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้แสดงความเห็นเชิงยั่วยุผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ทวิตเตอร์ ซึ่งทำให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงฝ่ายความมั่นคงของสหรัฐฯ ต้องออกโรงเตือนทรัมป์ว่า ทวิตเตอร์อาจจะนำพาสหรัฐฯเข้าสู่สงครามได้
ในส่วนของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้แสดงความเห็นถึงหนังสือเล่มนี้ ก่อนวางขายด้วยว่า มันก็เป็นแค่หนังสือแย่ๆ ที่มีแต่เรื่องราวอันสกปรกอีกเล่มหนึ่ง และว่านายบ๊อบ วู้ดวาร์ด มีปัญหาด้านความน่าเชื่อถืออยู่มากโข และบ๊อบ วู้ดวาร์ดเอง พยายามติดต่อสัมภาษณ์ประธานาธิบดีทรัมป์หลายครั้ง แต่ไม่สำเร็จ